หลังจาก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีที่ภาคเอกชนได้แสดงความเห็นว่ารัฐบาลควรหาทางกู้เงินเพิ่มเติมมาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นผลกระทบจากวิกฤตยูเครน–รัสเซีย ว่า รัฐบาลกำลังประเมินสถานการณ์เรื่องนี้อยู่ โดยขอให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบหลักในเรื่องนี้
พร้อมยอมรับว่า รัฐบาลจะติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเชื่อว่า หากดำเนินการจริง กระทรวงการคลังคงไม่ได้มีปัญหา แต่จะออกมาเป็นในรูปแบบใดได้บ้าง ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ ขอให้ใจเย็น ๆ และดูสถานการณ์กันไปก่อน
จากกรณีนี้ทำให้เกิดข้อกังวลใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการทางด้านการเงินของประเทศ โดยเฉพาะเงินที่สำรองเอาไว้ใช้ในยามวิกฤตว่าจะเพียงพอต่อการต่อสู้กับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่
หลังจากมีนักวิเคราะห์และภาคเอกชนประเมินว่า สถานการณ์ความรุนแรงอาจยังไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้ และอาจทำให้รัฐบางต้องตุนเงินเอาไว้เป็นกระสุนประคับประคองเศรษฐกิจต่อไป
โดยเฉพาะการใช้เงินภายใต้ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้ง 2 ฉบับ กรอบวงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท
ล่าสุดจากการตรวจสอบข้อมูลของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า วงเงินก้อนนี้เหลืออยู่ในจำนวนจำกัดแล้ว แยกเป็น 2 ฉบับ ดังต่อไปนี้
1.พ.ร.ก.กู้เงินฯ 1 ล้านล้านบาท (อัพเดท 4 มี.ค.2565)
หมายเหตุ : อนุมัติโครงการใหม่ไม่ได้ เพราะ พ.ร.ก.ได้สิ้นสุดแล้ว แต่สามารถปรับรายละเอียดโครงการได้ เช่น ขยายเวลาโครงการ ปรับสาระสำคัญของโครงการ แต่ต้องอยู่ในกรอบวงเงินเดิมที่อนุมัติ
2.พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท (อัพเดท 16 มี.ค.2565)
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤต ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้ใช้ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,356,520 ล้านบาท แยกเป็นการใช้จ่ายในกลุ่มต่าง ๆ ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ 3 กลุ่ม ดังนี้
ส่วนผลกระทบและแนวทางมาตรการรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งยูเครน และ รัสเซีย โดยในด้านผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ จากการประเมินในเบื้องต้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่
ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม 3.5 – 4.5% แต่ยังเชื่อมั่นว่าจะยังสามารถขยายตัวอย่างน้อยได้ไม่ต่ำกว่า 3%
สำหรับแนวทางมาตรการรองรับผลกระทบ ตามข้อเสนอของ สศช. มีดังนี้