"เอสซีจี" ทุ่ม 8 หมื่นล้าน เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าสู่ Net Zero

15 พ.ค. 2565 | 04:21 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ค. 2565 | 11:42 น.

“เอสซีจี” กางงบลงทุน 8 หมื่นล้าน เดินหน้ากลยุทธ์ลงทุน ESG 4 Plus ตั้งเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20 % ในปี 2573 พร้อมเพื่อสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 500 เมกะวัตต์ ในปี 2566 และเพิ่มผลิตภัณฑ์ฉลาก SCG Green Choice เป็น 67 % ภายในปี 2573

 

 

เอสซีจี ถือเป็น 1 ในบริษัทชั้นนำที่มีความชัดเจนในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยนำแนวทาง ESG 4 Plus ประกอบด้วย Net Zero - Go Green -Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจและปรับกลยุทธ์ธุรกิจมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ  โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2573 จะลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการดำเนินธุรกิจทั้งในและต่างประเทศลงให้ได้ 20 % เมื่อเทียบกับปี 2563  และตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593

 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวไว้ในรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนปี 2564 ว่า การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เอสซีจีจะใช้แนวทางการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการ อุุปกรณ์และใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานคาร์บอนต่ำอย่างพลังงานชีวมวล เชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) การใช้ลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และพลังงานแสงอาทิตย์

 

อีกทั้งเดินหน้าลงทุนวิจัยในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานทดแทน (AI Supervisory for Energy Analytics) ศึกษาการใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน

 

\"เอสซีจี\" ทุ่ม 8 หมื่นล้าน เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าสู่ Net Zero

 

ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งจากในและต่างประเทศอย่างน้อย 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2566 โดยในปี 2564 มีการใช้พลังงานลดลงถึง 7.6 % เมื่อเทียบกับปี 2550 ในขณะที่การใช้พลังงานทดแทนโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 14.9 %  ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 ลดลงจากปี 2563 ประมาณ 4.1%  

 

อีกทั้ง พัฒนาสินค้า บริการ และโซลูชั่นตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ฉลาก SCG Green Choice เป็น 67 %  ภายในปี 2573เช่น SCG Green Polymer  นวัตกรรมโพลิเมอร์ที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม ปูนงานโครงสร้างเอสซีจี สูตรไฮบริดที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) และระบบหลังคา SCG Solar Roof Solutions เป็นต้น โดยตั้งเป้ากำลังผลิต SCG Green Polymer™ 2 แสนตันต่อปีภายในปี 2568 และ 1 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573

 

รวมถึงกำหนดให้บรรจุภัณฑ์ของ SCGP (ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง) ทั้งหมดสามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ภายในปี 2568 โดยในปี 2564 ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำภายใต้ชื่อ SCG Green Choice มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 215,951 ล้านบาท จากจำนวนผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 162 รายการ และคิดเป็นสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ SCG Green Choice อยู่ที่ 41% ของรายได้จากการขายทั้งหมด เทียบกับเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากการขายเป็น 2 ใน 3 ภายในปี 2573

 

จัดตั้งบริษัท SCG Cleanergy เพื่อให้บริการโซลูชั่นผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานสะอาดอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้ง สร้างเครือข่ายระดับประเทศและระดับนานาชาติเพื่อผลักดันและขยายการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีการดักจับการใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage หรือ CCUS)

 

อีกทั้ง ประสานงานและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในการปลูกและฟื้นฟูพื้นที่ป่าบนบก ป่าชายฝั่ง และหญ้าทะเลให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Sink) โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าทั้งป่าบกและป่าชายเลนจำนวน 3 ล้านไร่หรือ1.2 ล้านเอเคอร์ภายในปี 2593 ด้วยโครงการ “ปลูก ลด ร้อน”  เพื่อดูดซับคาร์บอน 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

 

โดย ปี 2564 เอสซีจีได้ร่วมกับเครือข่ายปลูกต้นไม้เพื่อลดโลกร้อนไปแล้วรวมกว่า 160,000 ต้น ในพื้นที่ 700 ไร่ คิดเป็นการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะเวลา 10 ปี 10,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

สำหรับการลงทุนในปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 8 หมื่นล้านบาท ในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยงบส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีในประเทศเวียดนาม รวมถึงโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและซ่อมบำรุงต่าง ๆ จากปี 2564 ลงทุน 91,691 ล้านบาท เป็นของธุรกิจเคมิคอลส์ 63% ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง 23% ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 10% และการลงทุนในธุรกิจอื่น 4%