นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำคณะผู้แทนภาคเอกชนจากบริษัทชั้นนำของไทยเข้าร่วมงาน เพื่อเชื่อมโอกาสด้านการค้าและการลงทุนในสาขาธุรกิจเด่น ทั้งกลุ่มพลังงาน กลุ่มเคมีภัณฑ์ กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มท่องเที่ยวและบริการเพื่อสุขภาพ
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มค้าปลีก กลุ่มรถยนต์ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ และ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยวันนี้มีบริษัทซาอุดีอาระเบียสนใจเข้าร่วมกิจกรรม Business matching รวมมากกว่า 200 บริษัท (รวมแล้วมากกว่า 300 คน)
การเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ แสดงถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายที่จะต่อยอดและผสานความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ โดยทางกระทรวงการลงทุนของซาอุฯ ก็มีแผนที่จะไปเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในไตรมาส 3 นี้
นอกจากนั้น ภายในงานได้มีการทำ MOU ระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (Board of Trade of Thailand) และสภาหอการค้าซาอุดีอาระเบีย (Federation of Saudi Chambers) ซึ่งมีประเด็น 5 ด้านหลัก ๆ ร่วมกัน ดังนี้
1. เสนอให้สนับสนุนการจัดตั้ง Thai-Saudi Business Forum ระหว่างนักธุรกิจทั้งสองประเทศ
2. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และการประชาสัมพันธ์สินค้า เสนอให้หน่วยงานภาครัฐทั้งสอง สนับสนุนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่อีกฝ่ายจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมการค้าและความร่วมมือระหว่างกัน อีกทั้งยังเป็นการเสริมการรับรู้ในตัวสินค้าของทั้งสองประเทศให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยสภาหอฯ ได้เชิญชวนภาคเอกชนซาอุฯ เข้าร่วมงาน ThaiFex ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24-28 พ.ค. นี้ด้วย
3. การให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งภาครัฐของทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องระหว่างกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขยายมูลค่าการลงทุนของภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายในอนาคต
4. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าการอำนวยความสะดวกสำหรับนักธุรกิจจะช่วยดึงดูดความสนใจให้ไทยและซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศเป้าหมายการลงทุนลำดับต้น ๆ ของนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ
5. เสนอให้เร่งรัดการจัดทำความความตกลง FTA ระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบีย เพื่อเป็นการกระตุ้นการค้าระหว่างกันให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นในระยะยาว ทั้งสองประเทศควรเปิดการเจรจาความตกลง FTA ระหว่างกันโดยเร็ว นอกจากนั้น ยังมีการลงนาม MOU ของกระทรวงการลงทุน กับบริษัทเอกชน ทั้ง SCG, Gulf, Indorama, Minor Group และ ดุสิตธานี อีกด้วย
สำหรับผลการ Business Matching โดยภาพรวมได้มีการหารือถึงโอกาสต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียมีการขยายตัวได้ดีมาก โดยไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา มี GDP เติบโตสูงถึง 9.6% ด้านอาหารและผลไม้ ที่ทาง ซาอุดีอาระเบียสนใจมากๆ มีโอกาสที่จะนำทุเรียนส่งออกมาพื้นที่นี้ ส่วนวัสดุก่อสร้างก็มีโอกาส สอดคล้องกับทางซาอุฯ ที่มีแผนการขยายเมือง
กลุ่มยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็มีความสนใจ ที่จะไปดูโรงงานที่ประเทศไทย การท่องเที่ยวก็ได้รับความสนใจที่จะ Connect กับประเทศไทย ซึ่งซาอุดีอาระเบียได้ตั้งเป้าที่ท้าทายมาก โดยปัจจุบันมีนักท่องเที่ยว 20 ล้านคน จะเพิ่มให้ถึง 100 ล้านคน ในปี 2030 ดังนั้น ซาอุดีอาระเบียจึงต้องการเชื่อมและแลกเปลี่ยนความรู้กับประเทศไทย ซึ่งรวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล Medical และ Welness ของประเทศไทย โดยสนใจที่จะเดินทางไปประเทศไทยเพื่อไปใช้บริการและเรียนรู้ระหว่างกัน
สำหรับเรื่องปุ๋ย ที่วันแรกได้มีการเกริ่นกับ รมว.ต่างประเทศ นั้น วันนี้ ทางท่านดอนฯ ได้กล่าวกับทาง รมว.ต่างประเทศ Prince Faisal bin Farhan Al Saud เช่นกัน โดยได้ย้ำเป็นเรื่องแรกที่หารือกัน ซึ่งส่วนนี้เชื่อว่า จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนปุ๋ยให้กับเกษตรกรได้ เป็นการ secure source of supply
ทำให้ลดความเสี่ยงที่พึ่งพาปุ๋ยจากไม่กี่แหล่งเท่านั้น ความสำเร็จจากเดินทางมาครั้งนี้ คงสามารถต่อยอดได้อีกเยอะมาก ซึ่งภาคเอกชนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เกินความคาดหวังและประทับใจมากๆ หลังจากการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งภาครัฐและเอกชนของทั้งสองฝ่าย มีความกระตือรือล้นและมีความจริงใจ ตั้งใจที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด