รัฐบาลให้ความสำคัญการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกเพศวัยช่วงสถานการณ์โควิด นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เปิดเผย ภายในงาน เสวนาถามมา ตอบไปเพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้นกว่าเดิมในหัวข้อ”ดูแลวัย ให้โอกาสทุกชีวิต” เมื่อวันที่20พฤษภาคม 2565 ระบุว่า
ตลอดระยะเวลา8ปีรัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการแต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นรัฐบาลบูรณาการมากที่สุดสะท้อนจากช่วงสถานการณ์โควิด19 นายกรัฐมนตรีสั่งการรวดเร็วเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยให้ทั้ง7-8กระทรวง
อาทิกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงไอซีที กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฯลฯ ทำงานบูรณาการร่วมกัน และหยั่งรากลึกไปยังชุมชนหมู่บ้านผ่านผู้บ้าน อสม.หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านรวมกว่า2แสน ราย ร่วมกันสอดส่องดูแลประชาชนในพื้นที่
นายจุติมองว่าหากประเมินประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็กเทียบกับประเทศมหาอำนาจระดับโลกแล้ว ตัวเลขการติดเชื้อโควิดและการเสียชีวิตมีจำนวนน้อยกว่ามากและเกิดการพลิกฟื้นตัวที่เร็ว เนื่องจากระบบการสาธรณสุขของประเทศไทยดีเยี่ยมกระทั่ง ต่างชาติให้การยอมรับ
ขณะเดียวกันภายใต้การบริการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน การรักษาพยาบาล การ จัดหาพื้นที่โรงพยาบาลสนาม เพื่อดูแลรักษาด้านโควิด กระทรวงฯให้ความร่วมมือโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่เลือกสีเลือกพรรค
อีกทั้งการดูแลสวัสดิการผู้พิการจำนวนกว่า 3ล้านคน รัฐบาลได้ใช้ Onestop Service สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยทุกภาคส่วนทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเดินทางให้บริการออกบัตรสวัสดิการเพื่อสะดวกต่อการเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล
นอกจากนี้ยังร่วมกันช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยว คิดเป็น25 % จาก27ล้านครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งเข้าถึงระบบการศึกษาที่อยู่อาศัยสุขภาพอนามัย ตลอดจนการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในกลุ่มดังกล่าว
นายจุติย้ำว่าหากการทำงาน ไม่บูณาการร่วมกันทั้ง7-8 กระทรวงสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้โดยเฉพาะประเทศไทยกำลังจะปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่นเร็วขึ้น เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลบริหารโควิด ที่การสาธารณสุขประเทศไทย หนึ่งในแถบเอเชีย ไม่เคยปรากฎความรุนแรง เมื่อเที่ยบกับประเทศอื่นทั่วโลก