นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.ได้ผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาคทั่วประเทศ ซึ่งจะดำเนินการในช่วงปี 2565 - 2575 คาดว่าจะช่วยให้เกิดการลงทุนในพื้นที่รวม 3.1 แสนล้านบาท โดยหากทำสำเร็จน่าจะส่งผลให้ GDP ของประเทศเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 5.8% ต่อปี
“การทำระเบียงเศรษฐกิจทั้งหมด 4 ภาค จะเป็นพื้นที่รองรับการลงทุนใหม่ โดยการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคม 2565 นี้ โดยแต่ละแห่งจะมีรูปแบบการส่งเสริมแตกต่างกัน และกำหนดสิทธิประโยชน์ลงไปตามพื้นที่ เชื่อว่า เมื่อแผนเสร็จในช่วงเวลา 1-2 ปีจากนี้จะเริ่มมีเอกชนเข้าไปลงทุนในพื้นที่” นายดนุชา กล่าว
ทั้งนี้ที่ผ่านมา สศช. ได้มีการศึกษาแนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ภายใต้โครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทและขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เพื่อดูศักยภาพและโอกาสของพื้นที่ การวางยุทธศาสตร์การพัฒนา และการออกแบบฉากทัศน์เศรษฐกิจเชิงพื้นที่ของจังหวัดในระเบียงเศรษฐกิจ ตามจุดเด่นของแต่ละภาค
ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การผลิต การจ้างงาน การบริโภคสินค้าและบริการ ในศูนย์กลางของระเบียงเศรษฐกิจที่เป็นจังหวัดหลัก และกระจายความเจริญไปยังพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจเชิงพื้นให้ฟื้นตัวภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
สำหรับการกำหนดการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ไว้ 4 ภาค 16 จังหวัด ดังนี้
ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA)
ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC - Bioeconomy)
ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก (Central-Western Economic Corridor: CWEC)
ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC)
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาฯ จะเป็นกรอบการพัฒนาที่ช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
โดยในการประชุมที่ผ่านมา กพศ. ได้มีมติสำคัญในการกำหนดขอบเขตพื้นที่ของระเบียงฯ ใน 4 ภาค รวม 16 จังหวัด และได้ให้ความเห็นชอบข้อเสนอการขับเคลื่อนแล้ว