นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวันนี้ (21 มิ.ย.) ภายหลังนายทาเคทานิ อัทสึชิ ประธาน องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร กรุงเทพฯ (Japan External Trade Organization - JETRO Bangkok) เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสครบวาระการดำรงตำแหน่ง รายละเอียดมีดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชม ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้พบหารือกันในหลายโอกาส ตลอดจนบทบาทที่แข็งขันของภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ รวมถึงเจโทรมีส่วนช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณประธานเจโทรฯ ที่มุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่นตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ดำรงตำแหน่ง และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนและให้ร่วมมือแก่ประธานเจโทรฯ คนใหม่ด้วยดีเช่นกัน
ด้านนายทาเคทานิ อัทสึชิ ประธานเจโทรฯ กล่าวขอบคุณและชื่นชมนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนผลักดันความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่สำคัญ และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเจโทรเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพของรัฐบาลไทยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ประธานเจโทรฯ ยังขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ผลักดันการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมาโดยตลอด ซึ่งไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแข็งแกร่ง มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันในหลายโอกาส นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเพิ่งเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับไทยเป็นอันดับต้น ๆ
ทั้งนี้ เจโทรฯ ยืนยันความมุ่งมั่นในการคงบทบาทที่แข็งขันในการส่งเสริมความสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นต่อไป พร้อมทั้งสนับสนุนให้ประธานเจโทรฯ คนใหม่ สานต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 และเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย สะท้อนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนญี่ปุ่นต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจไทย และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งระหว่างกัน ตลอดจนยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมี ความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ห่วงโซ่อุปทาน
ทั้งนี้ ภาคเอกชนญี่ปุ่นมีความสนใจลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นโอกาสที่ดีของไทย และได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับการลงทุนของญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยในการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ทั้งสองได้หารือถึงประเด็นการพิจารณาขยายหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบัน KOSEN ให้ครอบคลุมสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในไทยมากขึ้น เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาค และจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของญี่ปุ่นในอนาคตด้วย