ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนมิถุนายนเท่ากับ 120.9 เทียบกับ เดือนมิถุนายน 2564 สูงขึ้น 5.5% (YoY) แต่เป็นการปรับตัวสูงในระดับที่ชะลอลง สำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) มองว่าเนื่องจากราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มมีแนวโน้มลดลง แต่ขณะเดียวกันราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สำคัญอื่น ๆยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน ถ่านหิน ซีเมนต์ และอะลูมิเนียม เป็นต้น
นอกจากนี้ สถานการณ์ด้านอุปทานก็ยังไม่มีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในต่างประเทศ ส่งผลกระทบทั้งในด้านการผลิต โลจิสติกส์ และการส่งออกทำให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างไตรมาส 3 ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน ของปีที่ผ่านมา ตามการสูงขึ้นของสินค้าในหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากปริมาณการผลิตเหล็กดิบโลก ในช่วงที่ผ่านมายังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างอื่น อาทิ ซีเมนต์ ปรับตัวขึ้น7.8% ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปรับตัวขึ้น5.7% อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปาปรับตัวขึ้น3.3% เหล็กและผลิตภัณฑ์ปรับตัวขึ้น6.2% สุขภัณฑ์ ปรับตัวขึ้น 0.4% วัสดุอื่นๆ ปรับตัวขึ้น7.1% และยางมะตอย ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมาตามต้นทุนการผลิต ค่าขนส่งและโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากอุปสงค์โลก ที่มีแนวโน้มชะลอตัว ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid และแนวโน้มการใช้ นโยบายการเงินแบบตึงตัวของไทย อาจส่งผลต่ออุปสงค์ของภาคการก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และมีผลต่อระดับราคา วัสดุก่อสร้างในประเทศ ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจความเห็นของกลุ่มตัวอย่างเดียวกับความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2565 พบว่า ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่ในปัจจุบันปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ ระดับ 18.0 แต่ถือว่าปรับตัวดีขึ้นเป็นคร้ังแรกในรอบ 6 เดือน และปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ดัชนีอยู่ ในระดับ 16.2
ทั้งนี้กลุ่มผู้ตอบแบบสอบเห็นว่า ในเดือนมิถุนายน 2565 ยังไม่เหมาะสมที่จะซื้อบ้านหลังใหม่สูงถึง85.6% ไม่แน่ใจ10.8% และมองว่าเหมาะสมที่จะซื้อบ้าน 3.8% และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่96.2% เห็นว่า ในปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมปานกลางจนถึงน้อยในการซื้อบ้านหลังใหม่ แสดงว่า ผู้บริโภคมีความเห็นว่า ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่