สืบเนื่องสถานะการในปัจจุบัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ได้ระบาดหนักอย่างมากในประเทศไทย และมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบในการใช้กลอุบายหลอกลวงประชาชน
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญในการสืบสวนติดตามจับกุมมาโดยตลอด ซึ่งในมิติหนึ่งของภาครัฐ และเอกชน รวมไปถึงประชาชนคนไทย ต่างก็ช่วยกันการประกาศแจ้งเตือนภัยผ่านสื่อตามช่องทางต่างๆ สร้างคอนเทนต์ต่างๆอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างดีทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันอัตราการถูกหลอกลวงลดน้อยลง
และในอีกมิติหนึ่งได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ผอ.ศปอส.ตร.) PCT เป็นตัวแทนดำเนินการวางแนวทางการปฏิบัติกับกรมตำรวจประเทศกัมพูชา ในการวางแนวทางการปฏิบัติ และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
โดยผู้อยู่เบื้องหลังการประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งหมดคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศโดยมีการทำ MOU กับทางประเทศกัมพูชา
โดยล่าสุด ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) PCT ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา ฝังตัวเพื่อเฝ้าดูพฤติกรรมคนร้ายและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาเป็นเวลาหลายเดือน ร่วมกันสืบสวนจนกระทั่งได้พยานหลักฐานสามารถขออนุมัติหมายจับศาลและได้ทราบสถานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 แห่ง ในประเทศกัมพูชา
ซึ่งได้มีการวางแผนเพื่อปฏิบัติการร่วมกัน และสนธิกำลังตำรวจเปิดปฏิบัติการทลายแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ในจังหวัดพระสีหนุ และจังหวัดปอยเปต ประเทศกัมพูชา
วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. /ผอ.ศปอส.ตร (PCT) มอบหมาย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 /หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 1 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2/หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 1 และ 5
ร่วมกับ สตม. บช.ภ.2 รับตัวคนไทยส่งกลับจากประเทศกัมพูชา โดยจากการเปิดปฏิบัติการดังกล่าว จำนวน 94 ราย และมีการออกหมายจับ จำนวน 79 ราย มีรูปแบบวิธีการกระทำความผิดต่างกันเพื่อเป็นประโยชน์ในการรู้เท่าทันคนร้าย ดังนี้
จุดที่ 1 โรงแรมจิงเฉิง ถ.สองธนู เมืองพระสีหนุ กัมพูชา จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 21 คน โดยมีแผนประทุษกรรมหลอกให้หลงและหลอกให้รักในแอปทินเดอร์ , ไลน์ โดยปลอมตัวตนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แล้วได้หาคู่แมทช์ แล้วพูดคุยให้หลงรัก
จากนั้นจะเริ่มหลอกลวงให้ร่วมลงทุนใน MetaTrader 5 (ฟอเร็กซ์) โดยจะให้ทำการเทรด การวิเคราะห์ทางเทคนิค ตามคำแนะนำ และชักนำให้ลงทุนกับ โบรกเกอร์ 1.MKNDY.Ltd , 2.Big Uncle ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ ปลอม และหลอกเอาเงินผู้เสียหายไป
จุดที่ 2 อาคาร 5 ชั้น ทางเข้าเป็นประตูสีแดง ถนน 104 เมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 18 คน โดยมีแผนประทุษกรรม คือฝ่ายคุมระบบหรือฝ่าย IT ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “หลังบ้าน” จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ (AI) เป็นเบอร์โทรต้นทางโทรผ่านระบบ VOIP ไปยังเหยื่อเป็นคนไทย หากมีการรับสายจะเป็นระบบอัตโนมัติ แจ้งข้อมูลมีพัสดุผิดกฎหมายให้ผู้เสียหายกด “9” เพื่อติดต่อพนักงาน
จากนั้นจะมีการโอนสายโทรศัพท์ให้ผู้เสียหายคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สาย 1 โดย สาย 1 จะหลอกลวงเป็นพนักงานไปรษณีย์ ได้ทำการตรวจสอบพัสดุพบสิ่งผิดกฎหมาย โดยหน้าที่หลักของสาย 1 นั้นไม่เพียงแต่เริ่มหลอกลวงผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว แต่จะหลอกเอาข้อมูลจากผู้เสียหายมาด้วย จากนั้นเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อการหลอกลวงจากสาย 1 แล้วจะมีการโอนสายให้ผู้เสียหายคุยกับ สาย 2 ซึ่งปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก “สภ.แหลมฉบัง” พูดจาข่มขู่ยัดคดีให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว โดยอ้างว่าจากการตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และหลอกให้ผู้เสียหายแสดงความบริสุทธิ์ โอนเงินที่มีเพื่อทำการตรวจสอบภายใน
แต่หากผู้เสียหายยังไม่ทำการโอน จะโอนสายต่อไปยังสายที่ 3 ซึ่งเป็นลักษณะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็น “ผู้กำกับการ สภ.แหลมฉบัง” มาข่มขู่เพื่อยัดคดีและข้อหาต่างๆ เพื่อให้เหยื่อเกิดความกลัวขึ้นไปอีก โดยสาย 2 และ สาย 3 จะมุ่งเน้นการหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน โดยตลอดการคุยกับพนักงานสาย 1 , 2 , 3 หากผู้เสียหายรายใดเริ่มหลงกล ทีม “หลังบ้าน” จะคอยให้ข้อมูลกับพนักงานสาย 1 , 2 , 3 ที่พูดสายอยู่กับผู้เสียหาย ว่าข้อมูลของผู้เสียหายให้มานั้นตรงหรือไม่ และหากผู้เสียหายหลงให้ข้อมูลกับ สาย 1 , 2 , 3 ไปมากนั้น ทีมหลังบ้าน จะสามารถ “ดูดเงิน” ออกจากบัญชีของผู้เสียหายได้ โดยการดูดเงินนั้นคือการนำข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายที่ได้ให้ไว้กับพนักงานสาย 1 , 2 , 3 ไปทำการโอนเงินเองโดยที่ผู้เสียหายไม่รู้ตัว
จุดที่ 3 อาคาร 8 ชั้น ถนน 702 เมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 10 คน โดยมีแผนประทุษกรรม โดยจะอ้างว่าเป็นการปล่อยสินเชื่อ ใช้ชื่อ “บริษัท บริหารสินทรัพย์ โฟร์ ซีส์ จำกัด” ในการปล่อยสินเชื่อ แต่หลอกลวง เอาค่าธรรมเนียมต่างๆ จากเหยื่อที่มากู้เงิน โดยกลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ได้หาเหยื่อจากการลงโฆษณาให้กู้เงินหรือสินเชื่อ ออนไลน์โดยมีการอ้างบริษัทหนึ่งในประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เหยื่อ ตามสื่อสังคม ออนไลน์ Facebook หรือ google ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงข้อมูลเท็จเหล่านี้ง่าย
โดยการระบบการหลอก สาย 1 จะทำหน้าที่เป็น พนักงานพูดหลอกลวงเหยื่อชักชวนให้กู้เงินออนไลน์ สาย 2 หรือ “กลุ่มเชือด” ทำหน้าที่แจ้งเหยื่อว่าต้องชำระค่า ประกันเงินกู้ ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จึงจะสามารถกู้ยืมเงินกับทางบริษัทฯ ได้และเมื่อเหยื่อหลงเชื่อโอน เงินเข้ามาก็ไม่ได้มีการให้กู้ยืมเงินแต่อย่างใด
จุดที่ 4 ตึกสามชั้น ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา ตำบลปอยเปต อำเภออูร์ชเรา จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 25 คน โดยมีแผนประทุษกรรม คือพนักงานสาย 1 โทรศัพท์หาผู้เสียหายและหลอกลวงเป็นพนักงานจากบริษัทขนส่งพัสดุบริษัท DHL ได้ทำการตรวจสอบพัสดุพบสิ่งผิดกฎหมาย และมีอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ กสทช. ด้วย โดยจะมีการสอบถามข้อมูลต่างๆของผู้เสียหาย ซึ่งจะอ้างว่าเบอร์โทรศัพท์ของผู้เสียหายถูกร้องเรียนจากการกระทำความผิด
โดยทั้งสองรูปแบบจะอยู่หมวดของ สาย 1 โดยหน้าที่หลักของสาย 1 นั้นไม่เพียงแต่เริ่มหลอกลวงผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว แต่จะหลอกเอาข้อมูลจากผู้เสียหายมาด้วย จากนั้นเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อการหลอกลวงจากสาย 1 แล้วจะมีการโอนสายให้ผู้เสียหายคุยกับ สาย 2 ซึ่งปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก “สภ.เมืองภูเก็ต” พูดจาข่มขู่ยัดคดีให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว โดยอ้างว่าจากการตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียหายมีการรั่วไหลและมีข้อมูลว่าผู้เสียหายมีหารขายบัญชีไป ให้กับ “นายสมศักดิ์ ศักดิ์ดียัง” ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และอ้างว่าจะต้องให้ผู้เสียหายส่งเงินเข้ามาตรวจสอบที่ บัญชีของฝ่ายตรวจสอบป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
แต่หากผู้เสียหายยังไม่ทำการโอน จะโอนสายต่อไปยังสายที่ 3 ซึ่งเป็นลักษณะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มาข่มขู่เพื่อยัดคดีและข้อหาต่างๆ เพื่อให้เหยื่อเกิดความกลัวขึ้นไปอีก และมักเชือดด้วยการพูดหว่านล้อมว่า สามารถเคลียร์คดีให้กับผู้เสียหายได้ โดยสาย 2 และ สาย 3 จะมุ่งเน้นการหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นหลัก
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. /ผอ.ศปอส.ตร (PCT) ได้สั่งการให้ศปอส.ตร. (PCT) รอรับตัวและซักถามปากคำผู้ต้องหาทั้งหมด และจากการขยายผลการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 94 รายนี้ทำให้ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้ง 4 แก๊งอีกหลายราย รวมไปถึง “หัวหน้าแก๊งชาวไต้หวัน”
ซึ่ง ศปอส.ตร. (PCT) จะมีการขยายผลโดยเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งขบวนการ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการขยายผล ได้มีพนักงานสอบสวนพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีท้องที่ที่ออกหมายจับผู้ต้องหา มาเพื่อรับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับไปดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป ได้แก่ สน.บางเขน 22 ราย สภ.เมืองอุดร 4 ราย สน.พหลโยธิน 18 ราย สภ.เมืองจันทบุรี 10 ราย และ สภ.ท่าใหม่ 25 ราย