นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า สงคารมรัสเซียยูเครนที่เป็นสาเหตุของราคาน้ำมันแพง ก๊าซแพง ยังไม่จบง่ายๆ และยังส่งผลให้ราคาอาหารของโลกแพงไปด้วย แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์กันเกษตรกรไทยได้เลย
ชาวนาและเกษตรกรไทยยังเผชิญกับภาวะข้าวของแพง เงินเฟ้อ ปุ๋ยแพง ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูง แต่รายได้ไม่เพิ่ม แถมมีปัญหาอื่นอีกมากมาย ทั้งที่รัฐบาลน่าจะต้องใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
แต่ปัญหาที่รุนแรงและทำท่าจะเป็นปัญหาใหญ่กับประเทศไทยที่ประชาชนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบ คือปัญหาความไม่สงบในประเทศเมียนมาร์จากรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาร์ที่ยังทำร้ายประชาชน ทำให้เกิดการต่อต้านเป็นวงกว้างมานานแล้ว
ล่าสุดมีการวางระเบิดท่อส่งก๊าซจากแหล่งซอติก้า ส่งผลให้การส่งก๊าซจากเมียนมาร์มาประเทศไทยมีปัญหา ก๊าซธรรมชาติที่ใข้ในการผลิตไฟฟ้าของไทยยิ่งขาดแคลนมากขึ้น จะนำเข้าก๊าซ LNG ก็มีราคาแพงมาก และต้องหันกลับไปใช้น้ำมันดีเซลที่มีราคาแพง(แต่แพงน้อยกว่าก๊าซ LNG) ในการผลิตไฟฟ้า
อีกทั้งปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันหลายโรงอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง ทำให้การกลั่นน้ำมันดีเซลออกมาได้น้อยลง ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันดีเซลจากประเทศไทยสิงคโปร์เข้ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้า และอาจจะขาดเขื้อเพลิงได้ในเร็วๆนี้ ซึ้งอาจทำให้ต้องตัดไฟฟ้าในบางพื้นที่ เริ่มเหมือนประเทศศรีลังกาเข้าไปทุกที
นับเป็นเรื่องน่าตลกร้ายอย่างมาก ที่ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินเป็นจำนวนมาก ( เกินกว่า 50%) แต่กลับจะขาดเขื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพราะขาดทั้งก๊าซในอ่าวไทยจากปัญหาข้อพิพาทสัมปทาน ขาดก๊าซจากเมียนมาร์จากการระเบิดของท่อก๊าซ และขาดน้ำมันดีเซลจากการซ่อมบำรุงของโรงกลั่น เพราะการบริหารจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพของพลเอกประยุทธ์ ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนหลายครั้งแล้ว
และทั้งหมดนี้จะยิ่งส่งผลให้ราคาไฟฟ้าแพงขึ้นไปอีก ถึงกลับต้องยกเลิกการแถลงข่าวการขึ้นค่าไฟฟ้าในสัปดาห์ที่แล้ว จนสัปดาห์นี้ถึงจะสรุปได้ เพราะไม่แน่ใจว่าราคาค่าเชื้อเพลิงและค่า FT จะพุ่งไปขนาดไหน และปัจจุบัน กฟผ. ก็แบกค่าใช่จ่ายเขื้อเพลิงอยู่ประมาณเกือบ 2 แสนล้านบาทแล้ว หนักกว่ากองทุนน้ำมันเสียอีก ซึ่งหากต้องขึ้นราคาไฟฟ้าอีก ประชาชนคงจะแบกรับกันไม่ไหวแน่
ทั้งนี้ หากพลเอกประยุทธ์จะรับฟังคำแนะนำของคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยแต่แรก และขอตอกย้ำ 5 ข้อดังนี้
ในภาวะที่โลกผันผวน ผู้นำจะต้องคิดและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และต้องมีความรอบรู้ฉลาดฉับไวในประเด็นต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะขึ้นในสัปดาห์นี้ที่ได้เตือนไว้แล้ว จะมามัวคิดแต่เรื่องรักษาอำนาจ ตีความ 8 ปี ทั้งที่ความตั้งใจฟังของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้ใครเป็นนายกเกิน 8 ปีซึ่งรวมถึงพลเอกประยุทธ์ด้วย
โดยมีหนึ่งในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้เคยบอกกับตนเองโดยตรงเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ถ้าหากบริหารล้มเหลวแล้วยังจะคิดยึดติดอำนาจ ประเทศไทยจะเดินต่อยากและมีแต่จะเสื่อมถอยลงเท่านั้นและในที่สุดไทยจะไม่มีตำแหน่งที่ยืนในโลกอีกต่อไป
ผลสำรวจล่าสุดของนิดาโพลก็บอกว่า 64.25% ของประชาชน เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ควรพ้นตำแหน่งไม่เกิน 24 สิงหาคม และ 80.03% เห็นว่า 3 ป. ไม่ควรมีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลคราวหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นอยากสวนความรู้สึกของประชาชนอีกเลย
อยากให้ดูตัวอย่างพลเอกเปรม ติณสูรานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่รับตำแหน่งหลังจาก 8 ปี ทั้งที่เศรษฐกิจและทิศทางเศรษฐกิจสมัยนั้นดีกว่านี้มาก ผลงานเศรษฐกิจก็ดีกว่ามากท่านยังไม่ดื้อรั้นต่อความต้องการของประชาชน