นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเกี่ยวกับจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาลว่า เรื่องดังกล่าวจะเป็นเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยตอนนี้เราต้องโฟกัสว่าในส่วนที่ไม่ใช่กาสิโนที่มีอยู่เพียง 10% ของพื้นที่คืออะไรบ้าง เพราะเราออกแบบให้เป็น 4 บวก 1
คือ กาสิโน บวกกับสิ่งที่จะก่อสร้างอีก 4 อย่างในพื้นที่ ซึ่งก็คือโครงสร้างพื้นฐาน ที่ประเทศไทยยังขาด เช่น สนามกีฬามาตรฐานขนาดใหญ่ คอนเสิร์ตฮอลล์ สวนน้ำและสวนสนุกระดับโลก ห้างสรรพสินค้าที่มีช็อปแบรนด์เนมหรูหรามาเปิด เป็นต้น
สิ่งที่รัฐบาลต้องการลำดับต้นๆของการลงทุนสถานบันเทิงครบวงจรคือ คอนเสิร์ตฮอลล์ ที่สามารถจุคนได้หลักหมื่นคน เพื่อจะได้มีคอนเสิร์ตระดับโลกเข้ามาสแดงในประเทศไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเติม เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ในปัจจุบัน
โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับนี้ภาครัฐคาดหวังว่าจะเก็บภาษีได้มากขึ้น ซึ่งจะมีภาษีทั้งภาษีที่เก็บจากธุรกิจกาสิโนที่เรากำหนดอัตราภาษีที่สูง
หากใช้โมเดลเดียวกับสิงคโปร์ภาษีรายได้ขั้นต้นจากการเล่นพนัน (Gross Gambling Revenue; GGR) ที่สิงคโปร์เก็บจากลูกค้าที่เป็น VIP ในอัตรา 12% และคนทั่วไปจะเก็บ 18% นอกจากนี้ยังมีรายได้จากภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
สาเหตุที่กำหนดอัตราภาษีรายได้จากการพนันที่เก็บลูกค้า VIP ต่ำกว่าคนทั่วไป เพราะต้องการดึงดูดลูกค้า VIP ให้เข้ามาใช้บริการมากกว่า ในขณะที่ลูกค้าทั่วไปที่เก็บภาษีในอัตราสูงก็เพื่อป้องกันการติดการพนันของคนทั่วไป
สำหรับประเด็นการลงทุนในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีข้อเสนอให้กำหนดจำนวนใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) ให้ชัดเจนว่าประเทศไทยควรมีที่ไลเซ่นส์ โดยมีการยกตัวอย่างของสิงคโปร์ที่มีเพียง 2 ไลเซ่นส์
นายจุลพันธ์กล่าวว่าในเรื่องการกำหนดจำนวนไลเซ่นส์นั้นจะเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร โดยตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าประเทศไทยจะมีการอนุมัติให้มีการลงทุนกี่แห่ง โดยจะต้องรอผลการศึกษาที่จะทำโดยสำนักงานบริหารสถานบันเทิงครบวงจรที่ตั้งขึ้นมาก่อน
ส่วนกรณีสิงคโปร์กำหนดให้มีเพียง 2 ไลเซ่นส์เพราะขนาดพื้นที่มีแค่นั้น ส่วนไทยต้องรอผลการศึกษาว่าเรามีความเหมาะสมจะมีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์กี่แห่งโดยต้องมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจ โดยในนอนาคตสามารถลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ แต่การสร้างต้องมีกรอบความรับผิดชอบที่ชัดเจนของผู้ที่ได้รับไลเซ่นส์ไปแล้ว
ส่วนการควบคุมให้มีการลงทุนจริงในส่วนอื่นๆของโครงการนั้นก็จะทำผ่านคณะกรรมการ และกลไกของสำนักงานเช่นมีการกำหนดว่าภายใน 2 – 3 ปีต้องมีการสร้างส่วนอื่นๆให้ครบ หากไม่ทำตามก็สามารถพักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
สำหรับประเด็นเรื่องเงินฝากที่ตัวร่างกฎหมายได้มีการกำหนดว่าคนไทยที่จะเข้าไปเล่น 50 ล้านบาท ยอมรับว่าในชั้นกรรมาธิการคงต้องมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องนี้ โดยมีหลายหน่วยงานให้ความเห็น เช่น อาจเอาเกณฑ์ของการยื่นภาษีเงินได้มาใช้ หรือเกณฑ์ของเครดิตบูโร เพื่อกำหนดได้ว่าไม่ให้คนที่มีหนี้สินพ้นตัวมาเล่นการพนันในกาสิโน
ในต่างประเทศมีการใช้ระบบ การยืนยันตัวตนที่เพิ่มความปลอดภัยทางการเงิน (KYC) ผู้ที่เข้ามาเล่นกาสิโนจะมีการถูกตรวจสอบได้ผ่านระบบชัดเจน ซึ่งสามารถป้องกันการฟอกเงิน เงินเข้า-ออก ต้องแจ้งและมีเทคโนโลยีการตรวจสอบ มีกล้องจับตลอดเวลา รวมทั้งมีเทคโนโลยีใหม่ป้องกันการใช้ชิปปลอม ใครแลกชิปคนนั้นต้องเล่นเอง เป็นต้น
นอกจากนี้ในคณะกรรมการนโยบายของสถานบันเทิงครบวงจรจะมีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อยู่ด้วยจะทำให้สามารถวางนโยบายในการป้องกันเรื่องการฟอกเงินไว้ตั้งแต่แรก
สำหรับการแก้ไขเรื่องของปัญหาการติดพนันที่เป็นอีกข้อที่ฝ่ายคัดค้านกังวล รมช.คลังกล่าวว่าทุกวันนี้เรื่องของการติดการพนันนั้นมีอยู่ในไทยอยู่แล้ว มีคนที่ลักลอบออกไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน โดยการแก้ไขปัญหานี้มีการพิสูจน์แล้วในสิงคโปร์ว่าเมื่อมีการเปิดเอนเมนต์คอมเพล็กซ์มีประชากรสิงคโปร์เข้าไปเล่นการพนันในกาสิโนแค่ 3% คนติดการพนัน 0.1%
กลไกป้องกันปัญหาการติดพนันในหลายปประเทศมีการตรวจจับไปถึงพฤติกรรมของผู้เล่น หากมีพฤติกรรมที่เริ่มแสดงออกถึงอารมณ์ที่รุนแรงที่เกิดจากการเล่นการพนันก็จะมีการเชิญให้หยุดเล่น และนำตัวไปรักษา บำบัด ซึ่งแนวทางต่างๆเหล่านี้เราได้กำหนดเป็นเงื่อนไขสำหรับเอกชนที่สนใจเข้ามายื่นประมูลด้วย