หลักทรัพย์บัวหลวง เชื่อในวิกฤตมีโอกาส แนะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีในตลาดหุ้นฮ่องกง ช่วงดัชนีฮั่งเส็งปรับฐานราว 7.6% นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ ผ่านบริการลงทุนหุ้นต่างประเทศ “BLS Global Investing”
นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่าย Global Investing บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ฮ่องกงเกิดเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ในช่วงต้นเดือนก.ค.จนถึงปัจจุบัน ทำให้ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลงแล้วเฉลี่ย 7.6% โดยหุ้นพื้นฐานดีหลายๆ ตัวย่อลงมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจ ถือเป็นโอกาสดีในการหาจังหวะเข้าสะสม เพื่อถือลงทุนระยะยาว เพราะนอกจากตลาดหุ้นฮ่องกงจะมีมูลค่าตลาดกว่า 120 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าไทยเกือบ 8 เท่าแล้วยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย
“แม้ช่วงที่ผ่านมา หลายฝ่ายวิตกกังวลว่า รัฐบาลจีนเริ่มให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฮ่องกงลดลงเรื่อยๆ จากอดีตเคยคิดเป็น 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจจีน ปัจจุบันเหลือสัดส่วนไม่ถึง 5% ของเศรษฐกิจจีน แต่เราเชื่อว่า จีนยังคงต้องพึ่งพาฮ่องกงในเรื่องของตลาดเงินตลาดทุน เพราะตลาดหุ้นฮ่องกงมีกฎระเบียบเข้มงวดเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ และมีสภาพคล่องสูง ทำให้ง่ายต่อการระดมทุน อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงยังถือว่ามีเสถียรภาพมาก เพราะผูกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างจากค่าเงินหยวนจีนที่มีความผันผวนสูงกว่า ล่าสุดธนาคารกลางจีนได้ประกาศลดค่าเงินหยวน”
ปัจจุบันดัชนีฮั่งเส็งประกอบไปด้วยหุ้น 50 ตัวที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง โดยสัดส่วน 64% เป็นบริษัทที่มีรายได้มาจากจีน เช่น “Tencent Holding” บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในจีน แต่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง รองลงมาเป็นบริษัทที่มีรายได้จากฮ่องกงสัดส่วน 19% ที่เหลือเป็นบริษัทที่มีรายได้จากประเทศอื่นๆเฉลี่ย 16% จากข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่า เหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ในฮ่องกงอาจไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ดัชนีฮั่งเส็งมีความผันผวน ฉะนั้นหุ้นพื้นฐานดีที่ปรับฐานลงมาในช่วงนี้นักลงทุนควรหาโอกาสทยอยสะสม
ขณะเดียวกันหากมองในแง่ค่า P/E Ratio ของดัชนีฮั่งเส็ง ถือว่า “ไม่แพง” ปัจจุบันอยู่ที่ 10 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่อยู่ระดับเฉลี่ย 16 เท่า และ 17 เท่า ตามลำดับ และหากนำไปเทียบกับค่า P/E Ratio ระยะยาว (Long-Term P/E Ratio) ยิ่งเห็นว่า จุดนี้น่าสนใจมาก เพราะอยู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกิน 1 S.D. (ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือ Standard Deviation)
ทั้งนี้นักลงทุนควรหาจังหวะเข้าลงทุน “3 หุ้นเด่น” ประจำตลาดหุ้นฮ่องกง คือ 1.หุ้น Ping An (2318) บริษัทประกันใหญ่สุดของจีน ในเชิง valuation หุ้น Ping An มีค่า P/E ปี 2563 เพียง 9.5 เท่า ขณะที่ PBV อยู่ที่ 1.9 เท่า นับเป็นอีกหนึ่งหุ้น Super Stock ที่น่าสนใจ 2.หุ้น Tencent (700 HK) บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดใน เจ้าของแอปพลิเคชั่นชื่อดัง Wechat คิดเป็น 23% ของรายได้ในปี 2561 มียอดผู้ใช้งานมากถึง 1.1 พันล้านคน มากที่สุดในจีน และ 3.หุ้น MTR (66 HK) ผู้ประกอบการธุรกิจให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั่วฮ่องกง ล่าสุดบริษัทได้วางแผนขยายเส้นทางรางรถไฟอีก 7 สาย คาดว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นอีก
ขณะเดียวกันยังแนะนำให้ทยอยสะสม ETF ที่สร้างผลตอบแทนตามดัชนีในฮ่องกงอย่าง ETF Tracker Fund HK (2800) ซึ่งเป็น ETF ที่สร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีฮั่งเส็ง ปัจจุบันมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากถึง 5 พันล้านบาท และมีค่า P/E ค่อนข้างถูกที่ 10.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ถือเป็นขนาดกองที่ใหญ่ และมีสภาพคล่องสูงกว่า ETF อื่นๆในฮ่องกง