หลังจากธนาคารกรุงเทพ ประกาศบิ๊กดีล ทุ่ม 9.09 หมื่นล้านบาทเข้าซื้อกิจการธนาคารพีที เพอร์มาตา ทีบีเค (PT Bank Permata :TBK) แบงก์อันดับ 12 ของอินโดนีเซียเมื่อปลายปีก่อน ทำให้บรรยากาศการออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านคึกคักขึ้นทันที จากเดิมที่จะเป็นลักษณะการออกไปตั้งสาขาหรือสำนักงานตัวแทน หรือร่วมกับธนาคารท้องถิ่นในประเทศนั้นๆเท่านั้น
เริ่มต้นปี 2563 ก็มีข่าวออกมาจากทางเมียนมาว่า บมจ.ธนาคารกสิกรไทย อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมลงทุนใน ธนาคารเอยาวดี ฟาร์มเมอร์ ดีเวลลอปเม้นท์แบงก์ หรือ เอแบงก์ (Ayeyarwaddy Farmers Development Bank: A Bank)
นายภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยออกมาระบุว่า การลงทุนดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และธนาคารกำลังเจรจารูปแบบการลงทุนและโครงสร้างที่เหมาะสมต่อการเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศเมียนมา ซึ่งต้องคุ้มค่าต่อการใช้เงินและสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และกฎหมายที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ประเทศ
ทั้งนี้รูปแบบการดำเนินธุรกิจจะออกมา 1. จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ(Subsidiary) 2.จัดตั้งสาขาต่างประเทศของธนาคารกสิกรไทยในเมียนมา (Foreign Bank Branch) และ 3.การเข้าร่วมลงทุนในธนาคารท้องถิ่นในประเทศเมียนมา (Equity Participation)
สำหรับการขยายธุรกิจสู่ประเทศเมียนมานั้น ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่ทำให้ประชาชนและธุรกิจในเมียนมาสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น (Financial Inclusion) เสริมความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจของ เมียนมา ขยายโอกาสและความสัมพันธ์ให้แก่ธุรกิจข้ามระหว่างประเทศไทย-เมียนมาได้มากขึ้นด้วย
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ โดยนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออกมาระบุถึงแผนการลงทุนเพิ่มในต่างประเทศว่า ธนาคารสนใจลงทุนเพิ่มในเมียนมา โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางเมียนมาเปิดโอกาสให้ธนาคารต่างชาติเข้าไปในหลายรูปแบบ จากปัจจุบันที่ธนาคารมีสำนักงานตัวแทนในเมียนมาอยู่แล้วและมีแผนจะยกระดับรูปแบบขึ้น โดยสนใจจะเป็นบริษัทย่อย(Subsidiary) เพราะมีอิสระที่จะทำได้หลายอย่าง เช่น การมุ่งสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ
“ประเทศอื่นๆ เราก็สนใจเช่นกัน แต่ที่สำคัญต้องรู้ว่าสิ่งที่จะทำนั้น ทำอะไร เพื่ออะไร ได้อะไร โดยไม่เกินตัว”
ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยกล่าวถึงนโยบายการลงทุนต่างประเทศว่า ยังโฟกัสการทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งปัจจุบันมีสาขาในอินเดีย สิงคโปร์ กัมพูชา สปป.ลาว รวมทั้งสำนักงานตัวแทนในเมียนมา ล่าสุดประกาศปิดสาขาลอสแองเจลิสในสหรัฐอเมริกา
ขณะที่นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า แนวโน้มธนาคารกลางของแต่ละประเทศในกลุ่ม CLMV จะเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าไปลงทุน เพื่อสร้างมาตรฐาน ส่วนหนึ่งหวังจูงใจให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นขยายการลงทุน ซึ่งเหมือนเมืองไทยในยุค 30 ปีก่อน โดยธุรกิจที่จะเข้าไปในประเทศเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจรายย่อย เพราะตลาดกลุ่มนี้ยังมีความต้องการบริการรายย่อยมากกว่ารายใหญ่
สำหรับกลยุทธ์ของธนาคาร เน้นการขยายตลาดรายย่อยก่อน ส่วนใหญ่จะออกไปลงทุนในรูปแบบการหาพันธมิตรท้องถิ่น เพราะมีประสบการณ์อยู่แล้ว เป็นลักษณะสถาบันการเงินท้องถิ่น (Local Finance) ซึ่งสามารถดำเนินธุรกิจได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์
“เรามีทีมดูแลด้านต่างประเทศ ซึ่งจะมองหาโอกาส อย่างตลาดเวียดนามก็มีศักยภาพเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม CLMV และตลาดเมียนมา แต่การหาพาร์ตเนอร์ในเวียดนามยาก เพราะเขาเพิ่งเปิดให้บริการ เช่นเดียวกับที่เราต้องการเรียนรู้และศึกษาความเป็นไปได้ แม้ว่าเราจะทำตลาดเล็กๆ ก็ตาม”
หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,541 วันที่ 19-22 มกราคม 2563