นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ การชนะเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตในสหรัฐที่มีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าโลก ทำให้นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์ทั้งเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ว่าจะฟื้นตัวรวดเร็วขึ้นอีกทั้งมีความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของบริษัทยาขนาดใหญ่หลายแห่ง ส่งผลให้ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,408.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.85% จากเดือนก่อน ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดของปี 2563 และเพิ่มขึ้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในเอเซีย
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีกว่าดัชนีหุ้นไทย คือ หลักทรัพย์ขนาดใหญ่ SET50 และ SET100 ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และธนาคารพาณิชย์จากการที่ธุรกิจมีความมั่นคงและราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมากในช่วงก่อนหน้าทำให้ได้รับความสนใจโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ โดยมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกในรอบ 16 เดือน ด้วยมูลค่า 32,506 ล้านบาท สูงที่สุดใน ASEAN
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมใน SET และ mai อยู่ที่ 90,084 ล้านบาท เป็นค่าเฉลี่ยรายเดือนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2563 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมอยู่ที่ 65,917 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ในSET 4 บริษัท ใน mai 2 บริษัท ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2563 SET มีมูลค่าระดมทุนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN
ขณะที่ Forward ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ระดับ 26.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 18.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ 24.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 22.2 เท่า ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2563 อยู่ที่ระดับ 3.00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.50%