สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้าน ในปี 2567 ยังคงซบเซาต่อเนื่องแม้ว่า จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสถาบันการเงินลดดอกเบี้ยลง อย่างไรก็ตามแนวโน้มปี 2568 มองเห็นสัญญาณที่ดี ธุรกิจดังกล่าวน่าจะฟื้นตัว จากแรงกระตุ้นอย่างต่อเนื่องของมาตรการรัฐ
นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หรือ HBA เปิดเผยว่า มูลค่ายอดเซ็นสัญญาสร้างบ้านในไตรมาส 4 ปี 2567 หดตัวลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
และคาดว่ามูลค่ารวมยอดสั่งสร้างบ้านจากสมาชิกสมาคมฯ ตลอดปีนี้อยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่ทำได้ 12,000 ล้านบาท แม้ว่าตลาดจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย แต่ยังไม่สามารถดึงตัวเลขกลับมาเทียบเท่ากับปีที่ผ่านมาได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดในไตรมาส 4 มีการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และ 3 โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท และแคมเปญลดหย่อนภาษีสำหรับการปลูกสร้างบ้าน
ซึ่งสามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท โดยเฉพาะบ้านสั่งสร้างที่มีราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และมีการเซ็นสัญญาภายในปี 2567 ทั้งยังมีงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2024” ที่ช่วยผลักดันยอดจองผ่านโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ
กลุ่มที่มีความต้องการสร้างบ้านสูงคือ บ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งมีความต้องการต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะที่กลุ่มบ้านระดับราคา 20 ล้านบาทเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากความต้องการของผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นเช่นกัน
รวมถึง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีหน้าอาจส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมและความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่เหนือความคาดคิด โดยส่งผลกระทบถึงการชะลอแผนก่อสร้างหรือยกเลิกสัญญาเกิดขึ้นในบางส่วน
สำหรับปี 2568 นายโอฬารคาดว่า ตลาดรับสร้างบ้านจะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ช่วยลดต้นทุนการผ่อนชำระและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มดีมานด์บ้านหรูเติบโตต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าที่มองหาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
นายโอฬารยังได้เสนอแนะขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการสร้างบ้านให้เป็นมาตรการถาวร เพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาดรับสร้างบ้านในระยะยาว พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าอุตสาหกรรมรับสร้างบ้านที่เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยจะยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลในปี 2568 คือการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นจากผู้รับเหมาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งหันมารับงานสร้างบ้านมากขึ้นเพื่อความอยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจ โดยผู้รับเหมาบางรายอาจเสนองานในราคาที่ตํ่ากว่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพงานและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรม
นายโอฬารจึงเน้นยํ้าถึงความสำคัญของการตรวจสอบสัญญาก่อสร้างให้ได้มาตรฐานและการควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง และแนะนำให้ผู้บริโภคให้ตั้งข้อสังเกตราคาในสัญญาซึ่งอาจจะถูกมากกว่าปกติ
โดยราคาของสมาชิกในสมาคมส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งบ้านแต่ละระดับราคาอาจจะแพงขึ้นหรือถูกลงแตกต่างกันไป เช่น บ้านในระดับที่หรูขึ้นอาจจะมีราคาสูงกว่า แต่ถ้าหากตํ่ากว่า 15,000 บาท/ตารางเมตร ก็อาจจะถือได้ว่าถูกกว่าปกติจำเป็นต้องมีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน
นอกจากนี้ ธุรกิจรับสร้างบ้านยังต้องเผชิญปัญหาเรื่องค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและแรงงานหายาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นตํ่า ส่งผลกระทบถึงต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความท้าทายในการบริหารต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้ยังทรงตัวอยู่ และยังมีความกดดันจากการแข่งขันและความต้องการของผู้บริโภค
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,046 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567