นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยจะมีวันหยุดระหว่างสัปดาห์ (วันอังคาร) ส่วนสัปดาห์หน้าก็จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวจากเทศกาลสงกรานต์ ขณะเดียวกันตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญมีเพียงการรายงานPMI ภาคบริการของสหรัฐ (ISM) ในวันจันทร์ตลาดคาดที่ 58.3 หากออกมาดีกว่าคาดเชื่อว่าส่งผลบวกต่อการลงทุน ดังนั้นด้วยวันหยุดที่คาบเกี่ยวและเริ่มเข้าใกล้วันหยุดยาว อีกทั้งไม่มีปัจจัยอะไรเด่นชัดทำให้ประเมินทิศทางดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งตัวกรอบที่ 1,580 – 1,615 จุด
นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ Cluster ใหม่บริเวณทองหล่อให้น้ำหนักกดดันเพียงระยะสั้น เชื่อว่ารัฐบาลจะคุมอยู่จากประสบการณ์ที่มีมากว่า 1 ปีและปัจจุบันวัคซีนก็เริ่มกระจายแล้ว ทั้งนี้ มองBEM, BTS, BJC และ CPALL รับผลกระทบเนื่องจากมีพื้นที่ธุรกิจใกล้เคียงทองหล่อ รวมถึงกลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW และ MINT ที่รับผลกระทบเชิงจิตวิทยาแต่หากราคาปรับฐานลงมามองเป็นโอกาสสะสม
ขณะที่ กลยุทธ์การเลือกหุ้นควรหาอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยบวก อาทิ ส่งออก คือ CPF, HANA, KCE และTU เนื่องจากทิศทางค่าเงินบาทระยะสั้นมีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่องหลังสหรัฐรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ในวันศุกร์กระทรวงแรงงานเปิดเผยการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 9.16 แสนตำแหน่งดีกว่า Bloomberg คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 6.5 แสนตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางครึ่งปีหลังปีนี้ อาจเริ่มเห็นค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าจากอุปสงค์ในการท่องเที่ยวประเทศไทยจะเริ่มกลับมาตามการค่อยๆเปิดรับต่างชาติ
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Laggard Play ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจุบันราคาดัชนีหลายอุตสาหกรรม อย่างท่องเที่ยว ปิโตรเคมี และการเงิน รวมถึงดัชนีหุ้นไทยต่างก็ฟื้นตัวกลับมาสูงกว่าระดับก่อนเกิดไวรัสโควิด-19 สะท้อนความคิดของตลาดว่าตลาดเชื่อว่าท้ายที่สุดผลประกอบการจะกลับมาเท่ากับระดับก่อนโควิด-19 ทั้งนี้ ยังมีบางอุตสาหกรรมที่ยังไม่กลับไปเท่ากับก่อนไวรัสโควิด-19 และได้ประโยชน์เศรษฐกิจฟื้นเช่นกัน ได้แก่ ธนาคาร คือ BBL, ค้าปลีก คือ BJC, CPALL และ CRC, สื่อ คือVGI, อสังหา คือ LH, โรงพยาบาล คือ BDMS และขนส่ง คือ BEM และ BTS
สำหรับหุ้นแนะนำ DOHOME ถือ / ราคาเป้าหมาย 20.4 บาท มองเป็นหุ้นที่น่าสนใจในการเก็งกำไรระยะสั้นด้วยปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งประเมินกำไรต่อหุ้นเติบโตต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้าหนุนจากการตั้งเป้าเปิดสาขาปีละ 5 สาขาต่อเนื่องจนถึงปี 2025 ส่วนระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากยอดขายต่อสาขาที่ YTD เติบโตราว 20% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีก และ TU ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 18.6 บาทTrading ตามปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ส่วนแนวโน้มไตรมาสแรกปีนี้ คาดยังเห็นการเติบโตตามความต้องการอาหารกระป๋องแปรรูปที่ยังดีอยู่เพราะผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายๆประเทศยังมีการ Lock Down ต่อเนื่อง