นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) (AMR) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) แบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (ไอพีโอ) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วโดยจะเสนอขายหุ้นจำนวน 150,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ หากขั้นตอนการดำเนินงานเป็นไปตามที่กำหนดไว้คาดว่าจะสามารถระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจ (Sector) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ AMR ดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น (System Integrator: SI) รวมถึงให้บริการงานดูแลรักษาและซ่อมบำรุงระบบเทคโนโลยีแบบครบวงจร โดยผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทฯ สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทตามโครงสร้างรายได้ ได้แก่ (1) งานให้บริการวางระบบ(2) งานให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง และ (3) การจำหน่ายผลิตภัณฑ์
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และทุนที่เรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาทแบ่งเป็นหุ้นสามัญ 450 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 300 ล้านบาท
นายมารุต ศิริโก กรรมการผู้จัดการ AMR กล่าวว่า เป้าหมายการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้สามส่วนประกอบด้วย 1. เงินลงทุนในการพัฒนาธุรกิจด้านระบบคมนาคมขนส่งและเมืองอัจฉริยะ 2. เงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านการให้บริการและต่อยอดเทคโนโลยี และ 3. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2561-2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,917.83 ล้านบาท 1,467.62 ล้านบาท และ 2,584.07 ล้านบาท ตามลำดับ ประกอบด้วยรายได้จากงานโครงการและการให้บริการ รายได้จากการขาย และรายได้อื่น ในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมลดลงจากปี 2561 จำนวน 450.21 ล้านบาทหรือลดลง 23.47% มีสาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ อยู่ในช่วงเริ่มดำเนินงานโครงการใหม่ ในปี 2563 ทำให้มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 1,116.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 76.07% เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากงานโครงการตามสัญญา จากผลการดำเนินงานที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ในปี 2561-2563 มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 140.99 ล้านบาท 27.39 ล้านบาท และ 247.55 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.35%, 1.87% และ 9.58% ตามลำดับ
สำหรับปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 220.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 803.78% จากปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีการทยอยรับรู้รายได้ในอัตราที่เร่งขึ้นจากงานให้บริการวางระบบ และมีอัตรากำไรขั้นต้นรวมในปี 2563 เท่ากับ 20.60% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 18.31% เนื่องจากสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 263.82 ล้านบาท หรือ 98.48% จากปีก่อน ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน