นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) วรรณ จำกัดเปิดเผยว่า บลจ.วรรณเตรียมเสนอขายกองทุนทางเลือกในรูปแบบกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งเป็นกองทรัสต์ที่มีสัญญาซื้อคืนกองแรกของประเทศไทย (REIT Buy Back) มีสัญญาซื้อสินทรัพย์คืนจากเจ้าของใน 5 ปี คาดว่า จะเปิดเสนอขายได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
ทั้งนี้ ประมาณการณ์ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 8% ต่อปี ซึ่งดีกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนระยะยาวในหุ้นกู้เอกชนส่วนใหญ่ในตลาด รวมทั้งกองมีระยะเวลาชัดเจนต่างจากกอง REIT และมีสินทรัพย์ที่เป็นที่ดินและโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลักประกัน ซึ่งเหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนระยะปานกลางถึงยาว (3-5 ปี) และต้องการรับผลตอบแทนที่มั่นคง
สำหรับแผนงานในครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมเพิ่มกองทุนทางเลือกทั้งในรูปของกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากภาวะ Covid-19 และรักษาผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนคาดหวัง
นายพจน์กล่าวต่อว่า ช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถบริหารงานได้ดีเกินกว่าเป้าหมายปี 2564 ที่กำหนดไว้เมื่อต้นปี โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) 1.87 แสนล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่บลจ.วรรณเปิดให้บริการโดยภายใน 5 เดือนมี AUM เพิ่มขึ้นถึง 2.5 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยเพิ่มเดือนละ 5 พันล้านบาท และเติบโตจากปี 2563 ที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้การเติบโตของธุรกิจมาจากความสำเร็จในการบริหารพอร์ตเชิงรุกและการแนะนำกองทุนในช่วงเวลาต่างๆเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าได้ตามเป้าหมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ ในภาวะโรคระบาด Covid-19 บริษัทได้แนะนำให้ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าจนได้รับความไว้วางใจทั้งในส่วนลูกค้าบุคคลทั่วไป บริษัทสถาบันขนาดใหญ่และพันธมิตรที่ทำธุรกิจตัวกลางอย่างธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์
ที่ผ่านมาบลจ.วรรณมียอดขายกองทุนร่วมกับธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวมกว่า 60 แห่งคิดเป็นยอดเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท ในส่วนของธุรกิจกองทุนรวม ปัจจุบันมีกองทุนภายใต้การบริหารครอบคลุมทุกๆตลาด ทั้งในและต่างประเทศ และยังเสนอขายกองทุนทางเลือกหลายกองทุน เช่น กองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ( ONE-LS-UI ) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในประกันชีวิตตลาดรองกองแรกและกองเดียวของประเทศไทย
“บลจ.วรรณ เราเติบโตได้เกินคาดมาก ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เติบโตได้ 100% โดยสามารถขยายฐานผู้ลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เติบโตมา 119% รองลงมาคือ กองทุนรวม 84% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 53%”นายพจน์กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: