กกร.หั่นจีดีพีปี 64 เหลือ 0-1.5% พร้อมหนุนรัฐกระจายวัคซีน

07 ก.ค. 2564 | 07:20 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ค. 2564 | 14:27 น.

กกร.หั่นจีดีพีปี 64 เหลือขยายตัวเพียง 0-1.5% จากผลกระทบโควิดระลอก3 รุนแรง ยาวนาน ชี้อานิสสงส์เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด ดันส่งออกฟื้นตัว ร้องรัฐเร่งจัดสรรวัคซีนและแสดงจุดยืนฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เรียกเชื่อมั่น

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จัดประชุมประจำเดือนกรกฎาคมเมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564  โดยมี นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยร่วมแถลงผลการประชุม

 

นายผยง  ศรีวณิช ระบุว่า  เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 2565 เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่รุนแรงและยาวนานขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า ทำให้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อแนวโน้มส่งออกของไทยในระยะต่อไป

พยง ศณีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย

ที่ประชุม กกร. จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564  เป็นขยายตัวได้ในกรอบ  0-1.5% ขึ้นกับความรุนแรงของโควิด-19 และมาตรการเพิ่มเติมของรัฐ และปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 8.0-10.0%  จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด  ภายใต้เงื่อนไขสามารถควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรมได้ และการฉีดวัคซีนให้แรงงานภายใต้ ม.33 ได้ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%

ประมาณการจีดีพีไทย

ขณะเดียวกันใน ที่ประชุมของกกร.ได้มีข้อเสนอต่อรัฐบาล ประกอบด้วย 

 

1.มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจได้มากขึ้น โดยกกร.ขอเสนอให บสย.เพิ่มวงเงินค้ำประกันให้แก่ลูกหนี้ของธนาคาร และจัดกลุ่มลูกหนี้ที่เป็น NPL ที่ได้รับผลกกระทบจากโควิด-19 แยกจากลูกหนี้ NPL ทั่วไป

 

รวมไปถึงการยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีที่ 1-3 เนื่องจากอยู่ในช่วงเดือดร้อนที่สุด เพื่อช่วยลดภาระให้ผู้ประกอบการ

 

นอกจากนี้ การให้ความช่วยเหลือ SME ภายใต้โครงการ Faster Payment ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ผู้ประกอบการได้รับการชำระเงินค่าสินค้าได้เร็วขึ้นภายใน 30 วัน ซึ่งจะดำเนินการขยายไปยัง SET100 และภาคส่วนอื่นๆ ต่อไป เพิ่มจากเดิมที่ได้ดำเนินการ MOU ไปแล้ว 163 แห่ง

 

2.การจัดสรรวัคซีน ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมาก โดยเฉพาะที่กรุงเทพและปริมณฑล การกระจายวัคซีนไปยังศูนย์ฉีดวัคซีนของภาคเอกชนทั้ง 25 ศูนย์ ที่พร้อมจะสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้ประชาชน

 

ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจากรัฐบาลมากระจายและเร่งการฉีดที่ 25 ศูนย์ที่มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการฉีดได้มากถึง 80,000 โด๊สต่อวัน และมีมาตรฐานในการรองรับผู้ฉีดทุกกลุ่ม

 

“ขอให้รัฐบาลใช้ประโยชน์จากการเปิดศูนย์ฉีดฯ ให้เต็มประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบในภาพรวม โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะช่วยรัฐบาลในการเร่งฉีดและกระจายวัคซีนให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของประชาชน”

 

3.ควรเร่งแผนการจัดหาวัคซีนและมีจุดยืนชัดเจนทางเลือกเป็นวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อพลิกสถานการณ์สร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวหรือนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว เพื่อการควบคุมการแพร่ระบาด

 

โดยนำบทเรียนจากจัดหาวัคซีนรอบแรกมาปรับแผนเพื่อให้ประเทศไทยได้มีวัคซีนที่พร้อมต่อการรับมือกับเชื้อโควิด 19 ที่กลายพันธุ์  รวมทั้งขอให้จัดสรรวัคซีนสำหรับภาคอุตสาหกรรมเพื่อรักษาความสามารถในการส่งออกสินค้าให้ได้ตามเป้าหมาย

นายผยงยังได้กล่าวถึงแผนในระยะยาวว่า  กกร. สนับสนุนให้ประเทศไทยต้องดำเนินการในการพัฒนาระบบ  Digital Vaccine Passport โดยเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดประชุม APEC 2022 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ นักลงทุน รวมทั้งคนไทยในประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว

 

โดยต้องให้ระบบและข้อมูลเป็นไปตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติเพื่อสนับสนุนทั้งในประเทศ INBOUND OUTBOUND ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Open API ในการเชื่อมต่อต่อข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขกับภาคส่วนต่างๆ

 

1.การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ   โดย กกร. สนับสนุนการพัฒนากองเรือของชาติ เพื่อส่งเสริมเรือที่เป็นของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ชักธงไทยบนเรือ โดยให้รัฐช่วยอำนวยความสะดวกด้านกฎ/ระเบียบ ตลอดจนโครงสร้างภาษี รวมทั้ง เร่งรัดการออก พ.ร.บ. ส่งเสริมการพาณิชย์นาวี พ.ศ. ... ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว

 

เพื่อมีระเบียบรองรับการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลพาณิชย์นาวี แบบองค์การมหาชน ทำหน้าที่ พัฒนาและส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีโดยตรง เพื่อให้กองเรือไทย ธุรกิจพาณิชย์นาวีไทยแข่งขันกับต่างชาติได้อย่างเท่าเทียม

 

“หากภาครัฐต้องการมีบทบาทในการผลักดันกองเรือไทย โดยการมีกองเรือที่ภาครัฐมีส่วนร่วม ขอให้ใช้กลไกที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ บริษัท บทด จำกัด ซึ่งรัฐถือหุ้นอยู่แล้ว เป็นกลไกส่งเสริมกองเรือและพาณิชย์นาวีไทย ก็จะมีความคล่องตัวและเหมาะสม ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ “นายผยงกล่าว  

 

2. นอกจากนี้ ขอให้รัฐบาลจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากองเรือของชาติ ซึ่งมี ภาคเอกชน โดย กกร. เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนร่วมกับภาครัฐ เพื่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้