เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564 ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท126/2562 จำคุกตลอดชีวิต นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กรณีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)จากการส่งออก 25 บริษัทจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท
นายสาธิต รังคสิริ ถือเป็นหนึ่งในข้าราชการดาวรุ่งมาแรงของกระทรวงการคลัง ถึงขั้นเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นเป็นปลัดกระทรวงการคลังได้ ถ้าไม่มาสะดุดเสียก่อน หลังมีจดหมายร้องเรียน ร่อนไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบหลายแห่งเมื่อปี 2556
จดหมายดังกล่าว กล่าวหาว่า นายสาธิต มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ส่งออกเศษเหล็ก ที่ขอคืนแวตจากการส่งออกจำนวนมากขึ้นจนผิดปกติ กระทรวงการคลังจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2556 ซึ่งผลการสืบสวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏชื่อนายสาธิตเกี่ยวข้องกับกระบวนการโกงภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด ทำให้นายสาธิตกลับมาเป็นผู้ตรวจราชการ กระทรวงการคลังตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556
นายสาธิตสามารถประคองตัวผ่านพ้นมาได้ท่ามกลางข้อครหา จนกระทั่งวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ม.44 สั่งพักราชการนายสาธิต และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้เข้ามาตรวจพบว่า นายสาธิตร่ำรวยผิดปกติ จึงมีคำสั่งอายัดทองคำมูลค่า 179 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2558
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายสาธิต รังคสิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง พ้นจากตำแหน่งราชการ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2559 โดยประกาศ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
นายสาธิต รังคสิริ จบมัธยมตอนปลายที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เข้าศึกษาต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ.2520 สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณทิต สาขาเศรษฐศาสตร์ปีพ.ศ. 2524 จากนั้นได้ไปศึกษาระดับ ปริญญาโทที่ Atlanta University ประเทศสหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาสาขา Master Of Art (Economic) ในปีพ.ศ.2527
เมื่อสำเร็จการศึกษาได้เริ่มรับราชการในตำแหน่ง นักวิชาการ 3 กรมสรรพากร โดยมี ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้อำนวยการกองฯ และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล เป็นหัวหน้าส่วน
ขณะนั้นประเทศไทยมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากระบบภาษีการค้ามาเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) นายสาธิตได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะทำงานศึกษาหาแนวทางในการนำระบบ แวต มาใช้แทนภาษีการค้า นายสาธิตจึงมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นอย่างดี
นายสาธิตยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานร่วมเจรจาภาษีซ้อนกับประเทศต่างๆเสมอ จากการที่นายสาธิตจบการศึกษาจากต่างประเทศ และมีความเชี่ยวชาญด้านภาษี จึงถูกเชิญไปบรรยายเทคนิคการวางแผนภาษีให้กับบริษัท ห้างร้านต่างๆ เป็นอาชีพเสริมเรื่อยมา รวมทั้งเขียนตำรา 108 กลวิธีในการหลบเลี่ยงภาษี ด้วย
จนมาถึงปี 2536 นายสาธิตและเพื่อนร่วมกันก่อตั้งบริษัท บางกอก เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด โดยนายสาธิตมานั่งเป็นกรรมการบริษัทเต็มตัวเมื่อปี 2538 ทำธุรกิจรับเป็นที่ปรึกษากฎหมายและวางแผนภาษีอากร ให้กับบริษัทห้างร้าน โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่ง ใช้บริการจากบริษัทของนายสาธิต
นายสาธิตได้รับการสนับสนุนที่ดีจากฝ่ายการเมือง ทำให้อาชีพรับราชการของนายสาธิตเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยนายสาธิตขึ้นดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2552 แค่เพียง 3 เดือน ก็ถูกโยกมานั่งเป็นผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2552
จากนั้นได้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมสรรพากร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ถือเป็นช่วงขาลงของนายสาธิต ก่อนจะนั่งเป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตราชการ