เตือน รัฐบาลอย่าชะล่าใจ ห่วงไทยขาดดุลบัญชีฯ พุ่ง

18 ต.ค. 2564 | 08:26 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2564 | 15:36 น.

“สมชัย ฤชุพันธุ์” ห่วงไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพุ่ง เตือนอย่าชะล่าใจ แม้เปิดประเทศจะทำให้รายได้เข้าเพิ่ม แต่ยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันสูง

นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการบริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “เพิ่มมุมคิด เติมมุมมอง ก้าวข้ามวิกฤต COVID-19” ในงานครบรอบวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลังปีที่ 60 ว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว โดยมองว่าโควิด-19 เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะสั้น และวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่มาจากการระบาดของโรค ซึ่งเป็นวิกฤตที่กระทบไปทั่วโลก

โดยกล่าวว่า ไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทำให้แม้เจอวิกฤตที่รุนแรงที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ก็ยังไม่หนักหนาจนถึงขั้นเยียวยาไม่ได้ สะท้อนจาก ระบบสาธารณสุขไทยอยู่ในเกณฑ์ดี มีบุคคลากรที่มีความสามารถ ราคาค่ารักษาและค่ายาสามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งความพร้อมของรัฐบาลในการแก้ปัญหา ทำให้ระบบสาธารณสุขไทยอยู่อันดับ 8 ของโลก และอันดับ 1 ของอาเซียน ขณะเดียวกันที่ผ่านมารัฐบาลและภาคเอกชน ร่วมกันจัดระบบเศรษฐกิจให้มีภูมิคุ้มกัน ช่วยรักษาวินัยการเงินการคลัง ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่น และทำให้หนี้สาธารณะไม่สูง แต่ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มากขึ้น

 

“เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง และ ต้องระวัง คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จากรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่หายไป แม้มองว่าเมื่อเปิดประเทศจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาดีขึ้น แต่ต้องวางแนวทางว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันถือเป็นสิ่งที่จะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น เพราะไทยนำเข้าน้ำมันมาก จึงไม่อยากให้ชะล่าใจ เพราะความเสี่ยงยังมี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเยียวยาเชิงนโยบาย มองว่ารัฐบาลทำได้ดี และการให้ความช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น แต่ทั้งนี้มองว่านโยบายบรรเทาและกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่พอ และต้องมองไปให้ถึงโครงสร้าง เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกระทบไปถึงโครงสร้าง ที่ทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่าง ขณะเดียวกันก็เกิดโอกาสหลายๆด้านเช่นกัน

 

ขณะที่การเปิดประเทศ ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับคืนสู่ภาวะเศรษฐกิจปกติ และมองว่ารัฐบาลมีการตัดสินใจที่รอบคอบ เพราะมีหลายฝ่ายรวมทั้งบุคคลากรทางการแพทย์ที่เข้าร่วมในการตัดสินใจด้วย อย่างไรก็ตามมองว่าเศรษฐกิจจะกลับมาปกติ แบบไม่เหมือนเดิม โดยจะเป็นภาวะปกติแบบใหม่ เพราะโควิดจะเปลี่ยนจาก Pandemic สู่ Endemic ซึ่งทำให้เรายังต้องระวังการใช้ชีวิตและการติดเชื้อโควิดอยู่

 

พร้อมแนะรัฐบาลลดข้อจำกัดของการเปิดโรงเรียนเพื่อผลิตหมอและพยาบาล ซึ่งขณะนี้ถือเป็นข้อจำกัดทำให้สถานศึกษาด้านนี้มีน้อย โดยมองประเทศไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ เพราะที่ผ่านมา ไทยลงทุนในเรื่องบุคคลากรไปแล้วจำนวนมาก ขณะเดียวกันคนไทยมีน้ำใจด้านบริการและชอบช่วยเหลือซึ่งเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งของไทย