บล.ทิสโก้ ลุ้นหุ้นไทยทะลุ 1,650 จุดอีกครั้ง

01 พ.ย. 2564 | 09:49 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ย. 2564 | 16:49 น.

บล.ทิสโก้ชี้ หุ้นไทยมีลุ้น เห็นดัชนีหุ้นไทยทะลุ 1,650 จุดอีกครั้งในช่วงที่เหลือของปี จาก 2 ปัจจัยบวกทั้ง กำไรบจ.ฟื้นตัวจากแรงหนุนคลายล็อกดาวน์ เปิดประเทศกระตุ้นท่องเที่ยว และเงินไหลเข้าจากกองทุน SSF และ RMF

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า ภาพการลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ บล.ทิสโก้มองในเชิงบวก โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีโอกาสไต่ขึ้นทะลุระดับ 1,650 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้เมื่อต้นเดือนกันยายนจาก 2 ปัจจัยสนับสนุนคือ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน จากการทยอยคลายล็อกดาวน์,การเปิดประเทศรับต่างชาติแบบไม่กักตัวเริ่ม 1 พฤศจิกายน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐที่คาดจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ จำกัด

ขณะเดียวกันยังเป็นฤดูกาลเม็ดเงินจากกองทุนรวมเพื่อการออม(SSF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เริ่มไหลเข้าในเดือน พฤศจิกายนถึงธันวาคมของทุกปี ซึ่งบล.ทิสโก้คาดว่า จะช่วยเติมเต็มเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 3 เดือนติดต่อกันแล้ว ปีนี้คาดว่า จะมีเงินไหลเข้าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับกองทุน SSF และอีก 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทสำหรับกองทุน RMF 

 

อย่างไรก็ตาม ต้องระวังความผันผวนของตลาดในช่วงต้นปีหน้าจากเม็ดเงินกองทุน LTF ที่ครบกำหนดถือครอง 7 ปีปฏิทินจะสามารถขายออกได้เป็นปีแรก ซึ่งบล.ทิสโก้ประเมินว่าจะมีมูลค่าในปัจจุบันประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท

“การแกว่งขึ้นของ SET Index รอบนี้ อาจขลุกขลักบ้าง เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จนอาจทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งในต่างประเทศต้องปรับนโยบายการเงินเข้มงวด (Hawkish) เร็วขึ้น โดยการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายนนี้”นายอภิชาติกล่าว

 

ทั้งนี้บล.ทิสโก้คาดว่า FED จะประกาศทำ QE Tapering จึงแนะนำให้จับตาการส่งสัญญาณจาก FED ขณะที่ตลาดกำลังประเมินว่า FED อาจเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นกว่าปี 2566 อิงจากข้อมูล Fed Funds Futures ล่าสุดในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดประเมินโอกาส FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า 2 ครั้ง  เพิ่มขึ้นจากเดิมในเดือนก่อนหน้าที่ประเมินขึ้นเพียง 1 ครั้ง 

 

นอกจากนี้ การเริ่มต้นประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วของไทยถือว่า ออกตัวไม่ค่อยดีนัก แม้งบธนาคารส่วนใหญ่ดีกว่าคาดก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ต่ำกว่าคาดเกือบทั้งหมด เช่น DTAC ต่ำกว่าตลาดคาด 14%, HMPRO ต่ำกว่าตลาดคาด 15%, SCGP ต่ำกว่าตลาดคาด 11%, DELTA ต่ำกว่าตลาดคาด 23%, SCC ต่ำกว่าตลาดคาด 29% และ PTTEP ต่ำกว่าตลาดคาด 13%

 

ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นในช่วงการทยอยประกาศงบจนถึงกลางเดือนนี้ แต่หลังจากนั้น เชื่อว่านักลงทุนจะกล้ามองไปข้างหน้าว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำแล้ว และกำลังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยบล.ทิสโก้คาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 2565 จะอยู่ที่ 95.3 บาทต่อหุ้น เติบโต 19% ต่อเนื่องจากปี 2564 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 80 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2563  ที่ทำได้เพียง 40 บาทต่อหุ้น

 

สำหรับการลงทุนในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังคงเน้นหุ้นที่คาดว่า งบไตรมาส 3/2564 จะออกมาดีเป็นพื้นฐานและเชื่อมต่อกับธีมการลงทุนที่ชอบดังต่อไปนี้

 

  1. Re-opening and Recovery แนะนำ BDMS, JWD, SCB, SPALI, TTB และ WHA
  2. หุ้นที่คาดว่าจะเข้าดัชนี SET50 รวมทั้งลุ้นเข้า MSCI Index  แนะนำ TIDLOR และ TTB
  3. หุ้นปันผลเด่น คือ  KGI

 

ดังนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนพฤศจิกายน คือ BDMS, JWD, KGI, SCB, SPALI, TIDLOR, TTB และ WHA  โดยแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,615 จุด 1,600-1,605 จุดและแนวรับถัดไปที่ 1,590-1,592 จุด และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,650-1,660 จุดและ 1,680 จุด ตามลำดับ