ปัจจุบัน หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics and Automation) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นต่อเนื่องในภาคการผลิตทั่วโลกตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยในปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ปริมาณหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ใช้ในโรงงานทั่วโลกมี 2.72 ล้านตัว หรือเพิ่มขึ้น 2.7 เท่าจากปี 2553 ขณะที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเพียง 1.1 เท่าในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นเร็วกว่าประชากรโลกเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ในกรณีของประเทศไทยได้มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้มากเป็นอันดับต้น ๆ ในอาเซียนรองจากประเทศสิงคโปร์ โดยมีการใช้เพื่อผลิตรถยนต์มากที่สุด รองลงมาเป็น อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมการใช้ของทั้งโลก
เทคโนโลยีผลิตหุ่นยนต์ฯ ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเกิดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีบทบาทมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมีราคาต่ำลงอีก ทั้งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากความสามารถในการเรียนรู้และการตอบสนองต่อผู้คนที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกจำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อทดแทนแรงงานอย่างรวดเร็ว
จึงกลายเป็นปัจจัยผนวกกันทั้งในด้านอุปสงค์และด้านอุปทาน เร่งให้ภาคธุรกิจเข้าสู่ยุคหุ่นยนต์ฯ เร็วมากขึ้น โดยประเมินว่าในปี 2573 จะมีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติทั่วโลกอยู่ที่ราว 20 ล้านตัว (ข้อมูลจาก Oxford economic, 2020) หรือเพิ่มขึ้น 7.4 เท่าจากปริมาณในปัจจุบัน หากแต่จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1.08 เท่า
โดยปัจจัยด้านมหภาคที่กระตุ้นให้เกิดการเร่งตัวของการปฏิวัติหุ่นยนต์ (Robotic Revolution) หลังจากหมดสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่
ดังนั้น เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากการปรับเปลี่ยนไปใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ จากการศึกษาพบว่า นอกจากการลดต้นทุนการผลิต และบรรเทาปัญหาข้อจำกัดของปริมาณและศักยภาพของแรงงานแล้ว ยังช่วยเพิ่มผลิตภาพในกระบวนการทำงาน (productivity) อีกด้วย
McKinsey Institute ได้ประเมินว่า ผลิตภาพของโรงงาน (ประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต) จะเพิ่มขึ้น 0.8-1.4% ต่อปี เมื่อนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถในการทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่พัก และความแม่นยำในการทำงานที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับมนุษย์ที่มักเกิดความผิดพลาดจากความอ่อนล้า ซึ่งหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะช่วยลดความสูญเสียจากกระบวนการทำงานลงไปได้มาก
สำหรับประเทศไทย มีกรณีศึกษาของการลดต้นทุนในบริษัทผู้ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ผลิตภายในคลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยพบว่า พึงพอใจต่อเทคโนโลยี ราคา และประสิทธิภาพการทำงาน โดยเทียบกับการนำแขนกล 1 เครื่องมาใช้ จะสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 10.4 เดือน ลดแรงงานที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ ได้ 2 คน คิดเป็นมูลค่า 252,000 บาทต่อปี
ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องจักรได้ถึง 3 เครื่อง มูลค่าผลผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 113% จากเดิม 130,680 บาทต่อปี เป็น 278,760 บาทต่อปี และยังลดค่าซ่อมบำรุงและค่าเสื่อมสภาพได้ถึง 45% นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จากแรงจูงใจของรัฐเพื่อดึงกลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้หุ่นยนต์เข้าร่วมเป็นคลัสเตอร์มากขึ้น ผ่านสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ อีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่รวดเร็วขึ้นนี้ จึงเป็นการก้าวสู่ความเป็น Thailand Industry 4.0 ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถต่อสู้บนเวทีตลาดโลกได้ แต่หนทางในการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตแบบเก่าสู่การผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ย่อมต้องเผชิญความท้าท้ายจาก
ดังนั้น มุมมองเชิงนโยบายที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่