นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ Wealth Forum: ลงทุนอย่างไรให้รวย จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจและหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในช่วงเสวนา" เงินดิจิทัล ไปต่อ หรือพอแค่นี้"ว่า การลงทุนในทริปโตได้รับความสนใจและยอมรับจากนักลงทุนเร็วมาก ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างประเทศ นักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันจะเห็นว่า มาแรงมาก เมื่อเร็วๆนี้มีกองทุนจากมหาลัยชื่อดัง ทั้งฮาร์เวิร์ดและเยลลงทุนในคริปโต ทั้งที่กลุ่มริเริ่มลงทุนใหม่ในอดีต มักจะเห็นอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนเพื่อทุนเก็งกำไร ดังน้ันเมื่อกองทุนจากมหาลัยเริ่มลงทุนในคริปโต จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่ ตามเข้ามาลงทุนในเร็วๆนี้
นักลงทุนรายย่อยลงทุนในคริปโคคึกคักมาก จากตัวเลขการเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเยอะมาก รวมถึงที่เริ่มเข้ามาคือ กองทุนรวม โดยเดือนที่ผ่านมา มีกองทุนอีทีเอฟกองแรกที่เป็นการลงทุนลิงค์กับคริปโต โดยเป็นการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(อีทีเอฟ ฟิวเจอร์) ชื่อว่า BITO แค่เพียง 2 วันมีสินทรัพย์แตะ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 30,000 ล้านบาทนับเป็นกองทุนที่โตเร็วที่สุดตั้งแต่มีอีทีเอฟมา
กองทุนอีทีเอฟเป็นการลงทุนทางอ้อม เพราะอีทีเอฟมีการกำกับดูแลชั้นหนึ่ง แต่เชื่อว่า อีกไม่นาน จะมีกองทุนที่ลงทุนคริปโตโดยตรงออกมา และจะทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในคริปโตมากกว่านี้อีก เพราะอีทีเอฟฟิวเจอร์ยังมีข้อจำกัด เช่น ราคาอาจไม่ไปด้วยกัน 100% หรือความหวือหวาอาจไม่เท่ากับคริปโตโดยตรง แต่ปัจจุบันหน่วยงานกำกับดูแลยังไม่เปิดช่องให้เราลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่หากในฝั่งสหรัฐฯมีอีทีเอฟฟิวเจอร์ เชื่อว่าอีกไม่นานจะมีกองทุนลักษณะนี้ในไทยด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่มีกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและก้าวหน้า แต่การที่มีเป็นที่แรกๆ ก็ต้องยอมรับว่า มีข้อเสีย เช่น ผู้ลงทุนยังมีข้อจำกัด ยังเป็นนักลงทุนบุคคล รายย่อยอาจไม่มากนัก เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น SET100 นักลงทุนจะมีทั้งรายย่อย สถาบัน นักลงทุนรายใหญ่และต่างชาติ
แต่พอลงไปในหุ้นขนาดเล็กหรือในตลาดหลักทรัพย์ mai นักลงทุนสถาบันอาจจไม่แตะ เพราะนักลงทุนสถาบันจะถูกตีกรอบด้วยขนาดของการลงทุน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติไม่ต้องการทุ่มทรัพยากรไปวิเคราะห์หุ้นขนาดเล็ก
คริปโตก็เจอปัญหาในลักษณะเดียวกันในช่วงแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป นักลงทุนสถาบันสนใจมากขึ้น ก็จะค่อยๆขยายวงไปสู่นักลงทุนสถาบันมากขึ้น แต่ที่จะเตือนนักลงทุนคือ ช่วงที่มีการลงทุนน้อย เหมือนหุ้นขนาดเล็ก โบรกเกอร์ที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้ก็จะมีน้อย ทำให้ข้อมูลที่จะใช้วิเคราะห์น้อยไปด้วย คริปโตก็เช่นกัน ถ้าสนใจจะลงทุนต้องทำการบ้านเองเยอะหน่อย ศึกษาข้อมูลดีๆ เพราะภาพรวมการลงทุนยังผันผวนสูง และยังมีความเสี่ยงสูง เพราะมีผู้เล่นในวงจำกัด
นายวินกล่าวว่า ในแง่หลักการลงทุนต้องเข้าใจและรู้จักสินค้าดี ไม่ว่าจะเป็นคริปโต ICO ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ความเสี่ยงคืออะไร เรารับได้แค่ไหน ในแง่ผู้เล่นรายใหม่แนะนำว่า ในพอร์ต 100% นั้นควรมีสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เกิน 5-10% แล้วจากนั้นค่อยๆขยับขึ้นไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ตามกระแส ตามเพื่อน แต่ถ้าศึกษาข้อมูลก็อาจจะมีจังหวะในการเข้าลงทุนได้ อย่างที่ผ่านมา ทางการจีนแบนเงินดิจิทัลมา 5-6 ครั้ง และทุกครั้งกระทบราคา 8-20% หากหยอดทุกครั้ง ที่ทางการจีนแบน ก็มีโอกาสที่ทำกำไรมหาศาล
ดังน้ัน การลงทุนเรื่องจังหวะเวลาก็สำคัญ หากเข้าใจว่า ทางการจีนมีผลต่อราคาอย่างไร เวลาที่ราคาลดลงก็จะเป็นจังหวะซื้อก็ได้ ในทางตรงกันข้าม หากเป็นการลงทุนตามเพื่อน ตามกระแส หากราคาขึ้นไปที่ 1.8-1.9 ดอลลาร์ เราเข้าไปอาจจะติดดอยได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตราย และก่อนลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลให้ดีว่า เป็นบริษัทที่ได้รับอนุมัติจากก.ล.ต.หรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจถูกหลอกให้ลงทุนได้
"ที่ผ่านมามีกรณีศึกษาย้อนหลัง 7 ปี ระหว่างปี 2014-2020 พบว่า ถ้าหยอดบิตคอยน์ลงในพอร์ต 2.5% แล้วปรับน้ำหนักทุกไตรมาส พอร์ตจะสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับที่ไม่มีบิตคอยน์ 23.9% ทั้งที่ระดับความเสี่ยงเท่ากัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่จะเป็นเหตุผลรองรับว่า คริปโตจะได้รับการยอมรับในพอร์ตเพิ่มขึ้น" นายวินกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในแง่การใช้นั้น อาจจะยังไม่แพร่หลาย เนื่องจากคริปโตยังไม่ได้ยอมรับให้เป็นสกุลเงิน แต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาพบว่า มีการโอนบิตคอยน์ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3 หมื่นล้านบาทในเวลาในการโอนเพียง 10 นาที และมีค่าบริการ 68 เซ็นต์หรือประมาณ 20 บาทเท่านั้น
นอกจากนั้นยังเริ่มเห็นการใช้คริปโตในการซื้อขายบ้าน รถ และล่าสุดใช้เป็นสินสอดด้วย จะทำให้ความนิยม ของคริปโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแง่การชำระเงินเองทั้ง VISA และ Master card มีการใช้คริปโตในการชำระราคาสินค้า แต่ยังไม่ได้ใช้โดยตรง ยังเป็นการใช้ผ่านจากบิตคอยน์เป็นดอลลาร์ แล้วใช้ดอลลาร์นั้นไปชำระราคาสินค้าอีกที