นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 9.62 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 59.58% ต่อ GDP อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) โดยติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ในภาวะปกติ กระทรวงการคลังจะกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะซึ่งเป็นการกู้เงินตามปกติเมื่อรัฐบาลต้องการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนมากกว่า 65% ของหนี้สาธารณะคงค้าง
โดยในปี 2557 – 2564 เป็นช่วงเวลาที่รัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุดถึง 178 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท โดยมีโครงการเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่แล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว อาทิ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าทั่วประเทศ โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและก่อสร้างปรับปรุงขยาย การประปาส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีโครงการเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในสาขาต่างๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการและจะทยอยเปิดให้บริการแก่ประชาชนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2562 ได้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย รัฐบาลหลายประเทศได้ดำเนินทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน โดยการกู้เงินจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ
รัฐบาลจึงได้ตรา พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท และ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 500,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การกู้เงินของรัฐบาลในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 เพื่อแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือและเยียวยาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ช่วยให้เศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2563 หดตัวลดลงเหลือ 5.1% ซึ่งดีกว่าที่ IMF คาดการณ์ว่าจะหดตัวที่ 8%
ซึ่งการกู้เงินในช่วงวิกฤตทำให้ระดับหนี้สาธารณะ และสัดส่วนหนี้สาธารณะ/GDP เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดีเมื่อปัญหาคลี่คลายและเงินกู้ดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและธุรกิจเติบโต GDP จะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับตัวลดลงเป็นลำดับ ต่ำกว่าในอดีตเมื่อเกิดวิกฤติ ดังเช่นที่ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 59.98% ในปี 2543 และอยู่ที่ระดับ 42.36% ในปี 2552
นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ Stable Outlook ซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจค่อนข้างมากภายใต้สถานการณ์วิกฤติ COVID-19 โดยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 Moody’s รายงานว่า ประเทศไทยมีการบริหารจัดการหนี้สาธารณะแข็งแกร่ง และมีหนี้ระยะยาวช่วยสนับสนุนภาคการคลังให้เข้มแข็ง
และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 Fitch Ratings รายงานว่าภาคการคลังของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง โดยความเสี่ยงภาคการคลังสาธารณะจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐบาลได้รับการบริหารจัดการ โดยกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะที่เข้มแข็ง ดังนั้น กระทรวงการคลังขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นว่า รัฐบาลยังมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้