นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวตอนหนึ่งในการเสวนา The Big Issue 2022 หัวข้อ อนาคตสินทรัพย์ดิจิทัล:ภาษีCrypto จัดโดย"ฐานเศรษฐกิจ"เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2565 ว่า ตนผ่านการทำงานในองค์กรด้านเศรษฐกิจทั้งธุรกิจการเงินเอกชน และตลาดหลักทรัพย์ ในระบบเศรษฐกิจดั้้งเดิม จนเมื่อสิบกว่าปีก่อนตลาดหุ้นทั่วโลกถึงจุดต่ำสุดหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอ จากนั้นเริ่มปรากฎตัวของโลกการเงินใหม่ในยุคดิจิทัล ทั้งบิทคอยน์ เทคโนโลยีบล็อกเชน ดิจิทัล โทเคน
ความเปลี่ยนแปลงในอนาคตเป็นสิ่งที่จะมาถึงแน่ คู่แข่งของตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศคู่แข่ง แต่คือการแข่งขันกันทางเลือกใหม่ ๆ จากเทคโนโลยีดิจิทัล แม้จะยังเห็นไม่ชัด กลไกใหม่ ๆ อยู่ระหว่างการพัฒนาและเติบโตสร้างนิเวศใหม่ ผลที่จะเกิดขึ้นกับกลไกหรือระเบียบกติกาเดิมยังไม่แน่ชัด หลักคิดต่อความเปลี่ยนแปลงในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับนโยบาย ที่จะมีผลเป็นการพัฒนา หรือเป็นอุปสรรคกีดขวางที่กลายเป็นการทำลายโอกาส
นายปริญญ์กล่าวย้ำว่า ตนยืนยันมาตลอด รวมถึงขณะร่วมให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีคลัง อธิบดี และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันก่อน ซึ่งก็รับฟังอย่างอดทน ถึงพ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯที่ออกมาบังคับใช้เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นกฎหมายที่เกิดจากความกลัว และมุ่งมิติการกำกับควบคุม มากกว่ามิติด้านการพัฒนาและเปิดโอกาสให้เกิดการเติบโตเป็นนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัลที่เข้มแข็ง
"กฎหมายยิ่งมาก ยิ่งนำมาซึ่งจุดอ่อนและช่องโหว่ การรีบออกกฎกติกามาคุมเร็วไปกลายเป็นไปขัดขวางนวัตกรรม ทั้งที่ควรปล่อยให้มีพื้นที่ได้เบ่งบานเต็มที่ก่อน ได้ลองผิดลองถูกได้พัฒนาและเติบโตจนเข้าที่และเต็มศักยภาพก่อน จากนั้นจะมากำกับควบคุมมาเก็บในตอนท้ายอย่างไรก็ยังไม่สายไป แต่กลับกลายเป็นขัดขวาง หรือทำลายโอกาสของคนตัวเล็กตัวน้อย ที่แสวงโอกาสช่องทางใหม่ ๆ ที่จะเติบโตและแข่งขันรายใหญ่ได้ต่อไป"
นายปริญญ์กล่าวอีกว่า ขณะที่จ้องเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลฯ อยากถามกลับว่าแล้วการเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีมากว่า 40 ปีได้เก็บหรือยัง พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ที่ออกมาใช้ 3-4 ปีมานี้ กลับมาเร่งเก็บ ทั้งที่ 1.ไม่เป็นธรรม 2.จัดเก็บได้ไม่จริง 3.ไม่เป็นสากล ถามว่าเก็บจากใคร เก็บได้เท่าไหร่ก็ตอบไม่ได้ รัฐบาลต้องเลิกทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี ออกกติกามาคุมเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยที่ยังไม่รู้อย่างลึกซึ้งกลายเป็นอุปสรรค ทำลายโอกาส คนไทยที่มีความรู้มีศักยภาพหนีไปทำในต่างประเทศกันหมด
"หมดเวลากับการคิดแคบ ๆ ฆ่าไก่เอาไข่มากิน รัฐบาลประกาศว่าเราต้องการโปรโมทเศรษฐกิจใหม่ แต่ก็ไม่ไว้วางใจ มองว่าฟอกเงินทั้งที่การฟอกเงินมีหลากหลายวิธีการ ระบบเดิมก็มีการฟอกเงิน จะเก็บภาษีทรานแซคชั่น แท็ก ในกรณีของสหรัฐฯก็มีเก็บ แต่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำไว้ที่ยกเว้น เพื่อดูแลผู้เทรดรายเล็กรายน้อย ทำให้มีวอลุ่มตลาดโตถึงระดับหนึ่งก่อนจึงค่อยเก็บ หรือมองว่าคริปโตเคอเรนซีเป็นบ่อนการพนัน ก็เป็นมุมเดียวกับที่เคยมองตลาดหลักทรัพย์เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน"
นายปริญญ์เสนอว่า ภาครัฐควรมององค์รวม เศรษฐกิจยุคใหม่ไทยยังมีโอกาสในการแข่งขันอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีบล็อคเชน เงินดิจิทัล ซึ่งมีคนไทยรุ่นใหม่หลายคนเข้าไปศึกษาหาโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่หลายรายที่กำลังเติบโต ควรสนับสนุนให้เกิดคลัสเตอร์ที่สร้างองค์ความรู้ พัฒนานิเวศเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตขึ้นมาจนแข็งแรงก่อนค่อยไปเก็บภาษี หรือกำกับให้ไปสู่ทิศทางที่ต้องการก็ยังไม่สาย กฎหมายต้องมีไว้เพื่อพัฒนาสนับสนุน ไม่ใช่เพียงกำกับควบคุม