ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 14-18 มี.ค. 2565 ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงินของ Fed, BOE และ BOJ
สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก การเริ่มสร้างบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก ผลสำรวจ
แนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมี.ค. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซนและข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนก.พ. อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
ในวันศุกร์ (11 มี.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ 33.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนครึ่งที่ 33.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียอ่อนค่าลงเกือบตลอดสัปดาห์ตามทิศทางสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกซึ่งเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หลังจากการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างยูเครนและรัสเซียรอบที่ 4 สิ้นสุดลงโดยปราศจากข้อสรุป
ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าที่คาดและยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้อีก ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงต้องเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกยังเพิ่มแรงกดดันต่อฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า (4 มี.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 7-11 มี.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 675.96 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 4.15 หมื่นล้านบาท