รายงานจากตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ระบุว่า การซื้อ หลักทรัพย์เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดภูมิภาค โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,662.66 จุด และลงไประดับต่ำสุดที่ 1,651.90 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,660.15 จุด เพิ่มขึ้น 2.14 จุด หรือ +0.13% มูลค่าการซื้อขายเบาบาลเพียง 65,217.92 ล้านบาท
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 700 หลักทรัพย์ ลดลง 1,089 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 570 หลักทรัพย์
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
สำหรับการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มพบว่า สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 741.40 ล้านบาทและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 311.46 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 933.88 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ118.98 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ ขณะที่นักลงทุนรอติดตามผลการหารือระหว่างรัสเซียและยูเครน และที่สำคัญ คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 15-16 มี.ค.นี้ คาดว่า จะทราบผลในช่วงเย็นของวันที่ 16 มี.ค.65
ทั้งนี้มองว่า หากเฟดไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่แข็งกร้าวจนเกินไปจะส่งผลดีต่อตลาด แต่หากยืนยันขึ้นดอกเบี้ยอย่างเข้มข้นก็อาจกดดันตลาดปรับลงไปแถวแนวรับ 1,620 จุดได้
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ปรับตัวลงเล็กน้อย ยกเว้นจีนที่ปรับตัวลงไปค่อนข้างแรงจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิดรอบใหม่ ทำให้กังวลผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงแผนเปิดประเทศในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้าอาจต้องชะลอออกไป
แนวโน้มการลงทุนวันพรุ่งนี้คาดว่าตลาดฯน่าจะยังคงแกว่งไซด์เวย์รอปัจจัยใหม่ทั้งในเชิงบวกและลบ ให้กรอบแนวรับที่ 1,640 จุด และแนวต้านที่ 1,660 จุด