รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ระบุว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปยืนในแดนบวกได้สูงสุดเพียง 1,663.32 จุด จากนั้นดัชนีก็ไหลรูดลงมาซื้อขายในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยดัชนีลงไปต่ำสุดที่ระดับ 1,639.90 จุดลดลง 20.25 จุด ก่อนดัชนีจะปิดซื้อขายที่ระดับ 1,644.36 จุด ลดลง 15.79 จุด (-0.95%) มูลค่าการซื้อขาย 82,506.52 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 450 หลักทรัพย์ ลดลง 1,481 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 465 หลักทรัพย์
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
สำหรับการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มพบว่า สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,414.35 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 257.71 และนักลงทุนต่างประเทศ 954.98 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,627.04 ล้านบาท
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวงเปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายย่อตัวลงมาต่อเนื่องจากช่วงเช้า ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลง โดยปัจจัยหลักมาจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบร่วงกว่า 6% ลงมาหลุด 100 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
ขณะเดียวกันยังมีความกังวลสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศจีน หลังจากกลับมาล็อกดาวน์เซิ่นเจิ้นและยังล็อกดาวน์เพิ่มอีก 2-3 เมือง ทำให้ตลาดกังวลว่า อาจผลกระทบภาพรวมเศรษฐกิจในเอเชีย และการบริโภคอาจชะลอตัวได้ ซึ่งมีผลต่อดีมานด์สินค้าโภคภัณฑ์ และกิจกรรมการค้าขายทั้งการนำเข้าและส่งออก รวมทั้งค่าระวางเรือ ซึ่งในวันนี้จะเห็นว่ากลุ่มเดินเรือมีแรงเทขายออกมามาก และยังขายกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วยเช่นกัน
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยพรุ่งนี้คาดว่า แกว่งตัวไซด์เวย์ ติดตามการประชุมประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คืนวันนี้และพรุ่งนี้ ว่าจะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตามที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ และแนวโน้มการปรับในครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร
รวมถึงท่าทีการลดขนาดงบดุล นอกจากนั้นยังต้องติตดามสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียให้แนวต้าน 1,650 จุด และแนวรับ 1,630 จุด