มีผลแล้วเริ่ม 4 เมษายนนี้ สำหรับเกณฑ์ใหม่กำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ให้เหมาะสมและเพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น ด้วยการยกระดับของมาตรการให้เข้มขึ้นจากเดิม รวมทั้งเพิ่มมาตรการการหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว 1 วันทำการเป็นมาตรการในระดับสูงสุด
เกณฑ์ใหม่มีรายละเอียดดังนี้
(ใหม่) มาตรการระดับ 1 : ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ (บัญชี cash balance) และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย
(เดิม) : ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ (บัญชี cash balance)
(ใหม่) มาตรการระดับ 2 : ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และ ห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้าม Net Settlement
(เดิม ) ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย
(ใหม่) มาตรการระดับ 3 : ห้ามซื้อขายชั่วคราว 1 วันทำการ (เฉพาะวันแรก) เมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้าม Net Settlement
( เดิม )ให้ซื้อด้วยการวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้าม Net Settlemen
ทั้งนี้ มาตรการในแต่ละระดับ มีระยะเวลาเริ่มต้นจนถึงวันสิ้นสุดครั้งละ 3 สัปดาห์ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถพิจารณาขยาย หรือยกระดับมาตรการได้ เมื่อพบว่าสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงผิดปกติ
ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซียพลัส ได้ออกบทวิเคราะห์ ระบุ รายละเอียดหุ้นที่ติด Cash Balance ว่า ณ ปัจจุบัน มีทั้งหมด 13 บริษัท เป็นการติด Cash Balance T3 2 บริษัท, T2 3 บริษัท, T1 อีก 8 บริษัท ซึ่งมี Market Cap รวมกัน 3.11 แสนล้านบาท ( คิดเป็นสัดส่วนต่อ SET 1.56% ) และถ้าไม่รวม JTS ซึ่งเพิ่งติดล่าสุดเมื่อวันที่ 28 จะมี Market Cap. อยู่ที่ 5.02 หมื่นล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนต่อ SET 0.25%)
โดยหุ้นทั้ง 13 ตัว ประกอบด้วย ARIN, JTS , DITTO, PRECHA ,GSC ,TVT ,PROEN ,QLT, ETC,CHO ,SANKO ,TCC และ MVP
"เชื่อว่าเกณฑ์การกำกับใหม่ของตลท. ดังกล่าวข้างต้นน่าจะไม่สร้างความผันผวนต่อภาพรวมตลาดมากนัก แต่น่าจะกดดันให้ความคึกคักของหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติลดลงได้"
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าการปรับมาตการครั้งนี้มุ่งเน้นช่วยลดความร้อนแรงของหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติลง และเป็นการสกัดกั้นการทำราคา ถือเป็นการลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน พร้อมกับหนุนให้นักลงทุนหันมาโฟกัสที่ Valuation มากขึ้น