ผู้ถือหุ้น BCPG ไฟเขียวออกหุ้นกู้ 3 หมื่นล้านบาท จ่ายปันผล 0.17 บ./หุ้น

08 เม.ย. 2565 | 06:45 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2565 | 13:46 น.

ผู้ถือหุ้นบีซีพีจี(BCPG ) อนุมัติจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 64 อัตรา 0.17 บาทต่อหุ้น พร้อมอนุมัติวงเงินหุ้นกู้ 3 หมื่นล้านบาท ลุยขยายกำลังผลิตเพิ่มเท่าตัว ปักธงปี 65 EBITDA เติบโต 25-35%

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG  เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯจัดสรรเงินกำไรประจำปี 2564 ไว้เป็นทุนสำรองตามกฎหมาย และจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิสำหรับผลการดำเนินงานในรอบครึ่งหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมดที่จ่ายในปี 2564 อัตรารวม 0.16 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายประจำปี 2564 จำนวนทั้งสิ้น 0.33 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมจำนวน 926.02 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2565

 

รวมถึงได้อนุมัติให้บริษัทฯ ออกและเสนอขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2565-2569) เพื่อใช้ในการลงทุน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป หรือเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ โดยการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในรูปสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินตราต่างประเทศ ตามความเหมาะสมกับความต้องการใช้เงินของบริษัทฯ และสภาวะตลาดในขณะนั้น

“การได้รับอนุมัติวงเงินหุ้นกู้ในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพฐานทุนในการรองรับแผนการลงทุนส่วนหนึ่ง โดยในอีก 5 ปีนับจากนี้  บีซีพีจีวางเป้าหมายขยายการเติบโตกว่าเท่าตัวจากปัจจุบันทั้งด้านรายได้ (Revenue) และ กำลังการผลิต (Generation Capacity) จาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณ 95,000 ล้านบาท ได้แก่

 

 

  • 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 
  • 2) ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (smart energy solution) อาทิ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ แบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ฯลฯ
  • 3) ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (smart infrastructure) อาทิ ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

 

ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันบีซีพีจีมีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งหมดภายในปี 2568

 

นายนิวัติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมของแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯได้ตั้งเป้ากำไรก่อนจะหักภาษีดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตประมาณร้อยละ 25-35 จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีการรับรู้ EBITDA จากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนที่จะลงทุนซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท