ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) มองสถานการณ์ "เงินเฟ้อสูง- ดอกเบี้ยเพิ่ม- เศรษฐกิจซบ และหุ้นฝืด"ที่เกิดขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะอยู่ลักษณะนี้อีกนานพอสมควร
โดยยกตัวอย่าง เรื่องของเงินเฟ้อที่มาจากเรื่องของสงครามที่มักจะไม่จบลงง่าย เช่นเดียวกับเรื่องของดอกเบี้ยที่มักจะล้อไปกับเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นเรื่องของการที่ถูกกดลงมามากและนานเกินไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในด้านของเศรษฐกิจเองก็เป็นผลที่มักจะหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะต้องเติบโตลดลง หรืออาจจะติดลบในยามที่ภาวะทางด้านการเงินไม่เป็นใจ
"โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สภาพคล่องทางการเงินทั้งในด้านของรัฐหรือของบุคคลธรรมดาที่จะต้องลดลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการก่อหนี้มหาศาลในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19"
คลิกอ่านเพิ่ม : เงินเฟ้อ-เศรษฐกิจฟุบ-หุ้นฝืด
ส่วนสุดท้ายคือ “หุ้นฝืด” หรือก็คือหุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลที่เน้นการเล่นหุ้นเก็งกำไรขาดทุนอย่างหนักจนเลิกเล่นหุ้น ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงมามากและลดลงอย่างต่อเนื่อง และนักลงทุนส่วนบุคคลมีสัดส่วนการซื้อขายลดลงจนเหลือแค่ประมาณ 30% ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลายเป็นประมาณ 50% และปริมาณการซื้อขายต่อวันลดเหลือระดับประมาณแค่ 5-60,000 ล้านบาท เทียบกับระดับเกือบแสนล้านบาทในช่วงเก็งกำไรร้อนแรง 1-2 ปีก่อนหน้านี้
ดร.นิเวศน์ มองอนาคตดัชนีตลาดหุ้นว่า อย่างน้อยประมาณ 6 เดือนข้างหน้านี้ว่า ตลาดหุ้นระดับโลกอย่าง"ตลาดหุ้นอเมริกา"โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นน่าจะยาก เหตุผลนอกจากปัจจัยดังที่กล่าวแล้วก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นของอเมริกาในระยะยาวตั้งแต่ปี 2552หลังวิกฤติซับไพร์มจนถึงสิ้นปี 2564 เป็นเวลาประมาณ 13 ปี ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ดังนั้น ตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ตลาดหุ้นตกลงมาเฉลี่ยถึง 20% ภายใน 6 เดือนจึงเป็น “ขาลงระยะยาว” ที่อาจจะต่อเนื่องไปอีกหลายปีที่ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ไม่น่าประทับใจเพื่อที่จะทำให้ “ผลตอบแทนระยะยาวมากของตลาดหุ้นอเมริกา” ไม่สูงเกินความเป็นจริงที่ประมาณไม่เกิน 10% ต่อปีแบบทบต้น พูดง่าย ๆ หุ้นอเมริกาต่อไปนี้คงไม่ดีนัก ถ้าไม่ตกหนักลงไปอีกจนเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เกิดขึ้นแล้ว
.
.
คาดหุ้นไทย"ทรงตัว"ถึงต้นปี 66
ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้น ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นเป็น Sideway หรือปรับตัวขึ้นลงไม่มากมาตลอด ดัชนีวันนี้เท่า ๆ กับดัชนีในเดือนมีนาคม 2556 ที่ประมาณ 1,561 จุด และคิดว่าดัชนีหุ้นไทยก็อาจจะทรงตัวหรือ Sideway ต่อไป โดยที่โอกาสที่จะตกลงมาหนักก็อาจจะไม่มาก
"ความเชื่อของผมคือ หุ้นไทยก็คงจะทรงๆ ไปจนถึงต้นปีหน้าหรือครบ 10 ปีที่นักลงทุนแทบจะไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เป็น “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้น "
อย่างไรก็ดี นักลงทุนวีไอท่านนี้กล่าวว่า แม้หุ้นไทยจะยังให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก แต่สำหรับเขาก็จะยังคงถือหุ้นไทยต่อไปด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้าเราถือหุ้นดีเป็นหุ้น Value เราก็น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอยู่บ้าง ซึ่งก็น่าจะดีกว่าผลตอบแทนจากทรัพย์สินอย่างอื่นทั้งหมดในประเทศไทย เช่นอสังหาฯ หรือหุ้นกู้และพันธบัตร
นอกจากนั้นยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นแรงได้ ถ้าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้านหลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวมานานติดต่อกันหลาย ๆ ปี และดูเหมือนว่ากำลังจะ “ติดกับ”อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางหรือ “Middle Income Trap”
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ก็คือจะต้องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ค่อนข้างจะ “ล้าหลัง” เมื่อเทียบกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกัน และนั่นทำให้ผมคิดว่า ภายในต้นปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ จะเป็นวันที่มีความสำคัญมากต่ออนาคตของประเทศไทยและตลาดหุ้น