บทเรียน Zipmex ต้องเร่งกำกับดูแลตลาดคริปโต ป้องกันความเสียหายนักลงทุน

24 ก.ค. 2565 | 23:05 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ค. 2565 | 06:30 น.

“อนุสรณ์ ธรรมใจ” ชี้กรณี Zipmex เขย่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในขณะนี้ เป็นสัญญาณคริปโตร่วงยุคดอกเบี้ยขาขึ้น เสนอหน่วยงานกำกับดูแลต้องเร่งล้อมคอกป้องกันความเสียหายนักลงทุน และตามให้ทันการฉ้อโกงเงินลงทุนในแวดวงคริปโตซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และอดีตกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีการประกาศระงับการเพิกถอนเงินของนักลงทุนของบริษัทซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย)  (Zipmex Thailand) เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องของ ธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ว่าจะส่งผลกระทบต่อ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ในไทยโดยรวม ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล และอาจลามถึงฟินเทคสตาร์อัพทั้งหลาย ฉะนั้น ต้องเร่งแก้ไขปัญหาความเสียหายของนักลงทุน และกำกับดูแลตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลให้ดีขึ้น

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

รศ.ดร.อนุสรณ์ชี้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดจากอุตสาหกรรมสินทรัพย์การลงทุนดิจิทัลโลกฟองสบู่แตกและเข้าสู่ภาวะขาลง ซึ่งภาวะดังกล่าวจะยังคงดำรงอยู่อย่างยาวนานจนกว่ากลไกราคาจะปรับสมดุลได้ การขายกิจการและการเปลี่ยนเจ้าของและผู้ถือหุ้นจะเกิดเพิ่มขึ้น พร้อมกับการลดขนาดองค์กรและปลดคนออกจากงาน ตอนนี้อาจต้องจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดซื้อขายสินทรัพย์การลงทุนดิจิทัลขนาดใหญ่อย่างไบแนนซ์ ( Binance) เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเข้าร่วมลงทุนอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามความเสียหายในระดับพันล้านบาทยังไม่ส่งผลรุนแรงต่อตลาดการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินโดยรวม

ขณะเดียวกัน เม็ดเงินจำนวนหนึ่งที่เคยลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลน่าจะไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ซึ่งมีความน่าเชื่อถือมากกว่า และความเสี่ยงต่ำกว่าแทน โดยเฉพาะในยุคอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยกรณี Zipmex น่าจะเป็นเพียงสัญญาณแรกอันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่จากการร่วงลงของคริปโตเคอร์เรนซี และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้บริษัทซื้อขายคริปโตจำนวนหนึ่งล้มละลาย ปิดกิจการและขาดสภาพคล่อง

 

ยกตัวอย่างกรณีของ บาเบลไฟแนนซ์ และ เซลเซียส เน็ตเวิร์ก สองบริษัทล้มละลายและขาดสภาพคล่องจึงส่งผลกระทบต่อ Zipmex Global และคาดว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับ Zipmex นี้จะส่งผลต่อดีลการซื้อ Bitkub ของ SCBx ด้วย นอกจากนี้ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 3 แห่งเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการลงทุนใน Zipmex คือ บริษัท แพลน บี มีเดีย (70 ล้านบาท) บริษัท มาสเตอร์แอด (197 ล้านบาท) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา (1% ของทุนจดทะเบียน Zipmex)

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตลาดคริปโตจะเข้าสู่ภาวะขาลง แต่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัลในหลายประเทศรวมทั้งไทยก็ยังมีโอกาสกลับมาเติบโตได้อีกในอนาคต แต่อาจเป็นอนาคตที่ต้องรอกันยาว อย่างน้อย 2-3 ปี

กรณีของ Zipmex Thailand เกิดขึ้นท่ามกลางตลาดคริปโตขาลง

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวย้ำเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ทางการ (ก.ล.ต.) ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การไปตรวจสอบบริษัทที่ทำการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ละแห่งว่า ยังคงมี Digital Assets อยู่ครบหรือไม่ มีการยักย้ายถ่ายเทไปที่ไหนหรือไม่ หรือ เอาไปลงทุนต่อ หรือไปฝากเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ไหนหรือไม่ การดำเนินการดังกล่าวได้รับความยินยอมจากนักลงทุนผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านั้นหรือไม่ ซึ่งตามเงื่อนไขของ ก.ล.ต. นั้น มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า ห้ามนำเงินลงทุนหรือทรัพย์สินของลูกค้าไปหาประโยชน์อื่น

แนวทางกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอาจต้องมีการปรับและตอบสนองต่อนวัตกรรมการลงทุนของสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นเพื่อคุ้มครองนักลงทุน เพื่อให้ธุรกิจสามารถระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย และเพื่อการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีอยู่สองประเภทใหญ่ คือ คริปโตเคอร์เรนซี และ โทเคนดิจิทัล

 

ในส่วนของโทเคนดิจิทัล (Digital Token) แบ่งย่อยออกเป็น Investment Token ให้สิทธิในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใดๆ และ Utility Token ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการได้มาซึ่งสินค้าและบริการ ดังนั้น การออกมาตรการกำกับต้องแตกต่างกันและต้องครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลทุกลักษณะ และต่อไปก็จะมีพัฒนาให้ซับซ้อนขึ้นไปอีก หากไม่ครอบคลุมดีพออาจมีคนใช้ช่องโหว่ของระบบการกำกับดูแลและกฎหมาย หาประโยชน์อย่างไม่ชอบธรรมเอาเปรียบนักลงทุน หรือแม้กระทั่งฉ้อโกงประชาชนได้ จึงขอเสนอให้ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกแนวทางและมาตรการในการกำกับดูแลการออกเสนอขายคริปโตเคอร์เรนซี การทำ Crypto Mining, การให้กู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Lending) การทำ Custodian และการทำ Wallet Provider ต้องมีการปฏิรูปหน่วยงานกำกับตลาดการเงิน กฎหมายว่าด้วยตลาดการเงิน ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและการลงทุน ต้องให้เท่าทันต่อเทคโนโลยีและกลโกงหรือการเอาเปรียบนักลงทุนในรูปแบบต่างๆด้วย

 

สำหรับการฉ้อโกงเงินลงทุนในแวดวงคริปโตเคอร์เรนซีนั้นมีหลากหลายวิธีและรูปแบบ วิธีหนึ่งที่มีการใช้กัน คือ การเข้ามาเจาะระบบโดยแฮกเกอร์ เป็นการแฮกเข้ามาในระบบการเงินแบบกระจายศูนย์หรือ DeFi การแฮกระบบ DeFi แม้ทำได้ยากแต่ก็ทำให้เกิดการสูญเสียเม็ดเงินของนักลงทุนไปแล้วในระดับหนึ่งพันล้านดอลลาร์

 

เราสามารถแบ่ง รูปแบบของวิธีการฉ้อโกงทางการเงิน ได้หลายรูปแบบ ดังนี้

  • รูปแบบแรก เรียกว่า Pumps and Dumps ซื้อเหรียญมาเก็บไว้ เก็งกำไรและปั่นราคาให้ขึ้นไปสูง หลอกล่อให้คนไปซื้อและเทขายออกมา
  • รูปแบบที่สอง NFT Scams ใช้วิธีสร้างเว็บไซต์ปลอมที่มีหน้าตาเหมือนเว็บไซต์ทางการขึ้นมา แล้วพยายามหลอกล่อผู้ใช้งานให้ล็อกอิน เพื่อเอาข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลการลงทุน จนกระทั่งบัตรเครดิต เป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้กับเว็บไซต์ขายของออนไลน์ รวมทั้งขาย NFT วิธีการนี้เรียกว่า ทำ Replica Store หรือ แฮกเกอร์อาจใช้วิธีหลอกคนที่สนใจใน NFT ของใครเป็นพิเศษแล้วส่งลิงก์เสนอขายเหรียญคริปโต หรือ อาจใช้วิธีสร้างชุมชนเพื่อเลียนแบบ Official Brand
  • รูปแบบที่สาม DeFi Rug Pulls เป็นรูปแบบการโกงโดยหลอกล่อให้เอาเงินมาลงทุนในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล จากนั้นก็เอาเงินโอนออกไปจนหมด โดยตรวจสอบหรือติดตามไม่ได้ว่าสุดท้ายเงินที่หายไปนั้นไปอยู่ที่ไหน
  • รูปแบบที่สี่ Fake ICOs มักใช้บริษัทขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพระดมทุนโดยแจ้งว่าจะนำเงินลงทุนไปพัฒนาธุรกิจสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ๆ และมีการออกเหรียญให้นักลงทุนผู้สนใจ หากนักลงทุนสนใจก็ซื้อเหรียญ ICOs ด้วยการจ่ายเหรียญคริปโต แต่ไม่ได้เป็นการระดมทุนเพื่อไปลงทุนโครงการต่างๆจริง
  • รูปแบบที่ห้า Malware เจาะเข้าระบบแล้วโอนเงินออกจาก Wallet จนหมดโดยไม่สามารถติดตามเส้นทางการโอนเงินได้ว่าไปไหน