โอสถสภา ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.45 บาทต่อหุ้น

10 ส.ค. 2565 | 11:44 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ส.ค. 2565 | 18:44 น.

โอสถสภา ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.45 บาทต่อหุ้น ดีเดย์ 9 ก.ย.นี้ หลังไตรมาส 2/65 โชว์ผลงานโตต่อเนื่อง ทำยอดขาย 7,184 ล้านบาท เติบโต 3.9% จากปีก่อน ผลธุรกิจเครื่องดื่มในต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลเติบโตต่อเนื่อง

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 มีมติเสนอจ่ายปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้นเป็นเงิน 1,352 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นที่ดีแก่นักลงทุน

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)

 

กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2565 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 กันยายนนี้ หลังจากที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 บริษัทฯ สามารถทำรายได้เติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 7,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% และมีกำไรสุทธิ 604 ล้านบาท  ย่อตัวจากแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสนับสนุนการเปิดตัวสินค้าใหม่

 

บริษัทฯ ยังครองความเป็นผู้นำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังและกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ โดยแบรนด์ ‘ซีวิท’ ทำสถิติยอดขายสูงสุดต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 40.1%

 

ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในประเทศภายใต้แบรนด์ เบบี้มายด์  ทเวลฟ์ พลัส และ เอ็กซิท กลับมาสร้างผลงานโดดเด่นในไตรมาสนี้ เติบโต 23.5% และพร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายฐานผู้บริโภครองรับการฟื้นตัว หลังผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตปกติและจับจ่ายซื้อของมากขึ้น

 

 

“ในครึ่งปีหลังคาดการณ์ภาพรวมของธุรกิจจะเติบโตตามแผนที่วางไว้ จากการปรับกลยุทธ์ขยายพอร์ตโฟลิโอและเพิ่มความแข็งแกร่งของเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ล่าสุด เอ็ม-150 กลิ่นเทอร์ปีน ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค คาดว่าในครึ่งปีหลัง กำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นจากการปรับกลยุทธ์ข้างต้นและการพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”นางวรรณิภากล่าว

 

ขณะที่สินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลจะทยอยออกสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นการขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ รองรับบรรยากาศการจับจ่ายที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากโมเดิร์นเทรดฟื้นตัว อาทิ การต่อยอดแบรนด์เบบี้มายด์สู่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่ ภายใต้แบรนด์อัลตร้ามายด์ บาย เบบี้มายด์ ตอบรับเสียงเรียกร้องของผู้บริโภคที่ชื่นชอบในความอ่อนโยนของผลิตภัณฑ์ มีส่วนประกอบหลักจากพืชธรรมชาติ