รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าววันนี้ (28 ส.ค.) ว่า เมื่อวิเคราะห์ดูจาก ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ต่างๆที่ออกมาของ สหรัฐอเมริกา ค่อนข้างมั่นใจว่าสหรัฐไม่น่าเจอ เศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากการประชุมประจำปี ณ เมืองแจ็คสัน โฮล บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ไม่กังวลเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย แต่กังวลว่าจะไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของราคาได้มากกว่า
ทั้งนี้ ในมุมมองของเฟด อัตราเงินเฟ้อสูงเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกที่ต้องควบคุมให้ได้ แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อจะส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจอยู่บ้าง
เป้าหมายของเฟดต้องการให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในระดับเป้าหมาย คือ 2% จากเวลานี้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐ หรือดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 8.5% ซึ่งลดลงมาเพียงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 9.1% (เป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี)
และเมื่อพิจารณาตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ดัชนีค้าปลีก ดัชนีการลงทุน ตลอดจนดัชนีคำสั่งซื้อของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวได้ดี เพียงชะลอลงเล็กน้อยจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพื่อคุมเงินเฟ้อ ส่วนตัวเลขจีดีพีไตรมาสสองที่ปรับล่าสุดติดลบน้อยลง คือติดลบ -0.6% ไม่ใช่ -0.9% ขณะที่ Gross domestic income ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1.4% ในไตรมาสสอง ตัวเลขล่าสุดการขอรับสวัสดิการการว่างงานก็ปรับตัวลดลงด้วย
อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังอธิบายต่อไปว่า ถึงแม้ตัวเลขจีดีพีสหรัฐจะติดลบต่อเนื่องสองไตรมาส ซึ่งตามคำนิยามทางเศรษฐศาสตร์ถือว่า เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคแล้ว แต่กรณีเศรษฐกิจสหรัฐนั้น เชื่อว่าจะไม่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากการติดลบของจีดีพีสหรัฐ เป็นผลมาจากการชะงักงันทางด้านอุปทาน คือ เกิด supply chain disruptions จึงทำให้สินค้าที่ผลิตแล้วจำนวนมากตกค้างที่จุดขนส่งสินค้า ไม่สามารถขนส่งได้ จึงไม่นับรวมในสต๊อคสินค้า หรือ Inventories ซึ่งหากดูตัวเลข Inventories จะพบว่า เพิ่มขึ้น 83.9 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสองเทียบกับการเพิ่มขึ้น 188.5 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ส่วนนี้ได้ถูกหักจากจีดีพี ทำให้จีดีพีติดลบที่ถูกรายงานในช่วงแรกติดลบสูงกว่าความเป็นจริงมาก
อีกตัวเลขหนึ่งที่ยืนยันว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่น่ามีภาวะถดถอย คือ การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเพิ่มขึ้น 1.5% เป็นการปรับตัวเลขใหม่หลังจากที่มีการรายงานว่าขยายตัวเพียง 1% ก่อนหน้านี้
“คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ต่อเนื่องในการประชุมวันที่ 20-21 กันยายน ศกนี้ และน่าจะใช้มาตรการเข้มงวดทางการเงินไปอีกระยะหนึ่ง ภาวะดังกล่าวจะกดดันตลาดการเงินโดยเฉพาะตลาดหุ้นน่าจะปรับฐานลงมาได้อีก” รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าว พร้อมทั้งคาดหมายว่า ดอลลาร์สหรัฐน่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดคริปโตน่าจะปรับลงได้อีกมาก และส่งผลต่อการชะลอตัวของภาคเศรษฐกิจจริงระดับหนึ่งเท่านั้น