ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2มิ.ย.2566 ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.78 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำและการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์
แม้ว่าเงินบาทมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง แต่จะเห็นได้ว่าการอ่อนค่านั้นไม่ได้รุนแรงมากตามที่เราได้ประเมินไว้ นอกจากนี้ โมเมนตัมเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาเป็นฝั่งแข็งค่าขึ้น หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงชัดเจน ส่วนราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งโซนดังกล่าวอาจมีผู้เล่นในตลาดรอทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ทองคำพอสมควร ทำให้เราคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาท แม้จะพอมีอยู่บ้าง หากนักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย แต่ก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระมัดระวัง ความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานสหรัฐฯ (เวลา 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งมีโอกาสที่ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมจะออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด หลังยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาก่อนหน้านั้น ก็ออกมาสูงกว่าคาดไปมาก
อย่างไรก็ดี เรามองว่า แม้ข้อมูลการจ้างงานจะออกมาดีกว่าคาด แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้มากนัก ยกเว้นว่า ยอดการจ้างงานจะออกมาสูงกว่าคาดมาก และอัตราการเติบโตของค่าจ้างก็เร่งตัวขึ้นมากกว่าคาด (ซึ่งเรามองว่าโอกาสเกิดภาพดังกล่าวมีไม่มาก)
แม้ว่าโมเมนตัมเงินบาทเริ่มกลับมาเป็นฝั่งแข็งค่าขึ้น แต่เรายังคงเห็นความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะฝั่งนำเข้า ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงไม่รีบกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย ทำให้เรามองว่า โซนแนวรับของเงินบาทอาจยังคงอยู่ในช่วง 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาท/ดอลลาร์
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นกว่า +0.99% ท่ามกลางความหวังว่าร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้อาจผ่านการพิจารณาโดยสภาคองเกรสได้ โดยล่าสุด สภาผู้แทนฯ ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว และ
เหลือเพียงการพิจารณาโดยวุฒิสภา ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันนี้ตามเวลาในประเทศไทย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกเชนโดย ADP ที่มาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ระบุว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.78% ตามความหวังของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าสภาคองเกรสสหรัฐฯ อาจพิจารณผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนที่ชะลอตัวลงมากกว่าคาด ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกหลายครั้ง ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้น (Adyen +1.5%, ASML +0.9%)
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่พลิกกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมิถุนายน ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.60%
เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเป็นแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หากเฟดไม่ได้เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาแย่กว่าคาด
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ (จากเดิมที่เคยมองว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 1-2 ครั้ง) ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.5 จุด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideway เพื่อรอรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันนี้
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าตลาดการเงินจะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) มีจังหวะปรับตัวขึ้นทดสอบระดับโซน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,993 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงาน โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนพฤษภาคม อาจลดลงสู่ระดับ 1.8 แสนราย จากระดับกว่า 2.5 แสนราย ในเดือนก่อนหน้า
สะท้อนถึงการปรับแผนการจ้างงานของภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากทั้งอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนการผลิตสูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่โดยรวมการจ้างงานในภาคการบริการอาจยังคงดีอยู่ สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ (แม้ว่าจะเป็นการขยายตัวในอัตราชะลอลงก็ตาม)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจต่ออัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ซึ่งหากค่าจ้างยังคงขยายตัวราว +0.4%m/m หรือ ไม่น้อยกว่า 4.4%y/y ก็อาจยังเป็นปัจจัยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงช้า และหนุนให้เฟดอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อ และอีกไฮไลท์สำคัญ คือ ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า วุฒิสภาสหรัฐฯ จะมีมติผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้หรือไม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.60-34.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ต่อเนื่องสอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังข้อมูล ISM ภาคการผลิตที่อ่อนแอและท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟด กระตุ้นให้ตลาดทยอยปรับการคาดการณ์กลับมาให้น้ำหนักกับโอกาสที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมที่ 5.00-5.25% นอกจากนี้ แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ยังจำกัด เนื่องจากตลาดรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในคืนนี้ ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.50-34.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ประเด็นทางการเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ตลอดจนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐฯ