ก.ล.ต. ย้ำเตือนนักลงทุน ต้องเกาะติดข้อมูลข่าวสาร อย่างใกล้ชิด

05 ส.ค. 2566 | 01:12 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ส.ค. 2566 | 01:14 น.

สำนักงาน ก.ล.ต. เผยแพร่บทความ “เมื่อลงทุนแล้วต้องทำอย่างไร” ย้ำเตือนนักลงทุน ต้องเกาะติดข้อมูลข่าวสารใกล้ชิด เพื่อไม่ให้พลาดประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน

ฝ่ายสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยแพร่บทความ "เมื่อลงทุนแล้วต้องทำอย่างไร" โดยระบุว่า ปัจจุบันการลงทุนในตราสารทางการเงินมีทางเลือกที่หลากหลาย 

ซึ่งแต่ละประเภทจะมีรูปแบบของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ผู้ลงทุนควรต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ คือ การติดตามข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความคืบหน้าการดำเนินการของผู้ออกตราสารนั้นใกล้ชิด 

ทั้งนี้หลังจากลงทุนกันไปแล้วควรติดตามอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของตนเอง  

การลงทุนในหุ้น : ตราสารที่ออกโดยบริษัทที่ต้องการระดมทุน ผู้ลงทุนจะถือเป็น "เจ้าของกิจการ"

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด

-เมื่อบริษัทไม่ส่งงบการเงินตามกำหนด ทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถมีข้อมูลผลการดำเนินงาน และฐานะการเงินของบริษัทไปประกอบการตัดสินใจลงทุนได้

-เมื่อเกิดปัญหาบางประการเกี่ยวกับงบการเงิน จนส่งผลสู่การถูกสั่งทำ "การตรวจสอบแบบพิเศษ" (Special Audit) เพื่อหาข้อเท็จจริงกับประเด็นที่เกิดขึ้น

-เมื่อสถานประกอบการของบริษัทอยู่ในพื้นที่ที่เกิดวิกฤต ด้านการเมือง หรืออื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้การดำเนินการของบริษัทขัดข้องและส่งผลต่อราคาหุ้นได้

  • เตรียมรับมือกับผลกระทบจากเหตุการณ์ อาทิ อาจขาดทุนจากราคาหุ้นที่ตก หรือได้รับเงินปันผลน้อยลงจากปัจจัยลบที่มากระทบ
  • ติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางที่เป็นทางการ รวมถึงการขึ้นเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมซักถามในประเด็นต่าง ๆ ตามที่มีข้อสงสัย

การลงทุนในหุ้นกู้ : ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่ต้องการระดมทุน ผู้ลงทุนจะถือเป็น "เจ้าหนี้" รวมถึงหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเสนอขายผ่าน Funding portal โดยผู้ระดมทุนส่วนใหญ่ ผ่านช่องทางนี้จะเป็นกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ถือหุ้นกู้ควรติดตามอย่างใกล้ชิด

-เมื่อหุ้นกู้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

-เมื่อผู้ออกหุ้นกู้มีผลการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ 

  • หมั่นตรวจสอบว่าตนเองถือหุ้นกู้ชนิดใด และได้รับผลกระทบจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือไม่ 
  • ติดตามข่าวสารในกรณีที่มีข้อสงสัยว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 
  • ติดตามแผนการแก้ไขเหตุผิดนัดจากผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เมื่อเกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงศึกษารายละเอียดก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 
  • ประสานผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ซึ่งจะเป็นบุคคลช่วยติดตามการชำระหนี้ รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายในการบังคับหลักประกันและการฟ้องร้องดำเนินคดี กรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติให้ชำระคืนหุ้นกู้โดยพลัน (call default)

การลงทุนในกองทุนรวม : บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) จะนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนรวมตามสัดส่วน เช่น หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล เพื่อกระจายความเสี่ยง และบริหารเงินลงทุนให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุนมาสู่ผู้ถือหน่วยลงทุน

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด

-เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในราคาสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

-เมื่อเกิดความผิดปกติกับผู้ออกตราสารหรือตลาดตราสารที่กองทุนรวมลงทุน

  • เตรียมรับมือกับความผันผวนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมที่ถือ
  • ศึกษา และทำความเข้าใจกับข้อจำกัดจากการใช้ Liquidity Management Tools (LMTs) โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มส่งผ่านต้นทุนการซื้อขายสินทรัพย์ของกองทุน และกลุ่มที่เป็นข้อจำกัดต่อการไถ่ถอนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ บลจ. จะพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ LMTs เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ลงทุนโดยรวม และใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุที่การลงทุนมักมาคู่กับความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรหมั่นติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และสอบถามข้อมูลที่ควรได้รับ

เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม และใช้สิทธิของตนเอง เพื่อช่วยลดการสูญเสีย

ที่มาข้อมูล : สำนักงาน ก.ล.ต.