(11 ต.ค. 66) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ กล่าวในงาน "Monetary Polycy Forum" ว่า เหตุการณ์สู้รบระหว่าง "อิสราเอล-กลุ่มฮามาส" นับเป็นเหตุน่าเศร้าใจ หลายฝ่ายคาดว่าเหตุการณ์รุนแรงน่าจะยืดเยื้อเหมือนกับความขัดแย้ง "รัสเซีย-ยูเครน"
พร้อมยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางยังคาดเดายาก และอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบขยับสูงขึ้นได้ในสักระยะ ขณะเดียวกันปัญหารุนแรงขณะนี้ยังทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าตามไปด้วย
เนื่องจากนักลงทุนหาความปลอดภัยในการลงทุน ส่งผลให้ค่าเงินหลายประเทศทั่วโลกอ่อนค่าลง มีต้นทุนนำเข้าพลังงานสูงขึ้น สำหรับการจะออกมาตรการดูแลของรัฐบาลนั้น ควรปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณ หรือกองทุนน้ำมันฯ เพราะมองว่าราคาน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
ด้านนายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. ระบุว่า ในปีหน้าเป็นความเสี่ยงขาสูง อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าอยู่ในระดับต่ำจากฐานสูงในปีที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อได้ลดลง
เนื่องจากราคาอาหารสด การชดเชยต้นทุนค่าไฟฟ้า น้ำมันดีเซล ของรัฐบาล แต่ต้องยอมรับว่าทิศทางดอกเบี้ย ยังมีแนวโน้มทยอยสูงขึ้นในปีต่อไป รวมทั้งต้องจับตาปัญหา เอลนีโญ ที่สร้างภัยแล้งจนมีผลกระทบไปหลายภาคส่วน
แต่คาดว่าแนวโน้มเงินเฟ้อ ยังเป็นไปตามเป้าหมาย แม้เหตุการณ์ความรุนแรงตะวันออกกลาง ที่คาดว่าจะกระทบราคาน้ำมันดิบตลาดโลกขึ้นไปที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลล์ ในช่วงสิ้นปี 66