KEY
POINTS
หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยกระดับการบริหารจัดการในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนในระยะยาว ภายใต้ประกาศเรื่อง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) หรือ “มาตรการ RL” ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ให้บริการในการรับผิดชอบลูกค้าตลอดวงจรการเป็นหนี้อย่างเหมาะสม
แหล่งข่าวระดับสูงจากสถาบันการเงินเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันทุกแบงก์ช่วยลูหนี้ตามเกณฑ์ RL คือ ตราบใดลูกหนี้ให้ความร่วมมือ (รับโทรศัพท์ พูดคุบกับธนาคาร และบอกปัญหา ) แต่ปรา กฎว่า ส่วนหนึ่งลูกค้าปฎิเสธการให้ความช่วยเหลือ เข้าใจว่า ลูกค้าไม่มีกำลังที่จะจ่ายหนี้ให้กับธนาคารจึงหลบเลี่ยง จึงเป็นประเด็นยากที่จะให้ความช่วยเหลือ
ขณะที่บางรายติดต่อไม่ได้ ซึ่งธนาคารก็ต้องดำเนินคดีคือ ความถี่ในการติดต่อลูกค้าทุกแบงก์ทำกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็เห็นความพยายามจากการที่ธปท.เข้าสุ่มตรวจ แต่ผลไม่สัมฤทธิ์เพราะลูกหนี้เองเป็นหลัก โดยยืนยันว่าตอนนี้ทุกธนาคารยังพยายามให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส2 และครึ่งแรกของปี 2567 พบว่า ลูกหนี้หลังปรับโครงสร้างเริ่มค้างชำระอีกแล้ว แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) จึงมีสัญญาณน่าห่วงอยู่ เพราะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทำให้กลุ่มลูกหนี้ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบต่อเนื่อง โดยพบว่า เริ่มมีวันค้างชำระที่กระจายตัวถ้วนหน้าทุกประเภทธุรกิจ ทั้งรายเล็กรายใหญ่
ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ปรับโครงสร้างเคยให้ความช่วยเหลือมาแล้ว ตอนนี้แต่ละธนาคารให้ความเช่วยเหลือรวดเร็ว บางรายค้าง 1-2งวดหรือ 30วันก็เข้าไปช่วย ซึ่งแต่ละเดือนมีลูกหนี้เริ่มค้างมีปริมาณมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับความช่วยเหลือแล้ว ซึ่งรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลืออย่างจริงจังคือ รากหญ้ามีเงินกิน แต่ไม่มีกำลังจะไปทำอะไรต่อได้เลย
“การลดปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ยังมองไม่ออก เพราะหนี่งในวิธีการให้ความเช่วยเหลือคือ กระตุ้นให้สินเชื่อ โดยที่หนี้เก่าลูกหนี้ยังไม่มีกำลังจะผ่อนชำระ แต่มากระตุ้นให้กู้ก่อหนี้เข้าไปอีก”แหล่งข่าวกล่าว
ขณะที่ไม่มีการควบคุมปัจจัยพื้นฐานให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน อาหารทุกอย่างแพงหมด แต่เรียกร้องสถาบันการเงินให้ปล่อยสินเชื่อ ส่วนตัวพูดได้เลยว่า ใครจะกล้า แบงก์ก็ต้องระมัดระวังสุดตัว เพราะสัญญาณหนี้เอ็นพีแอลและหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ(SM)หรือ Stage2 ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งก็เข้าใจธปท.ทำอะไรได้ไม่มากกว่านี้แล้ว
สำหรับผลดำเนินงานธนาคารจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ครึ่งแรกปี2567 พบว่า 10 ธนาคารพาณิชย์มีหนี้เอ็นพีแอลรวม 535,970.28 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 28,573.92 ล้านบาทหรือ 5.63%จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 507,396.36 ล้านบาท นำโดย
ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(ECL) รวม 119,704.3ล้านบาทเพิ่มขึ้น 11,407.6ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 10.53% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 108,296.7 ล้านบาท
นอกจากนี้ บางธนาคารเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (Under - performing) หรือ Stage2 ได้แก่
ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 282.5% สะท้อน 6 ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ(Domestic systemically Important bank: D-SIBs) มี ECL รวมกว่า 1,009,276 ล้านบาท
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,014 วันที่ 1-3 สิงหาคม พ.ศ. 2567