“ปิ่นสาย สุรัสวดี” ผงาด นั่งอธิบดี กรมสรรพากร

21 ส.ค. 2567 | 07:58 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2567 | 08:09 น.

จับตาโยกย้ายคลัง โยก“ปิ่นสาย” จากรองปลัดคลัง นั่งอธิบดี กรมสรรพากร ดึง “กุลยา”นั่งสรรพสามิต พร้อมย้าย ดร.เอกนิติกลับไปนั่งเป็นผอ.สศค.เตรียมตัวนั่งผู้ว่าการธปท.คนต่อไปในอีก 2ปี ส่งผอ.สศค.คนปัจจุบัน ขึ้นแท่นอธิบดี ธนารักษ์

สิงหาคมเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูกาลโยกย้ายข้าราชการก่อนสิ้นปีงบประมาณ 30 กันยายน แต่กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายต้องหยุดชะงักลง หลังเกิดอุบัติเหตุุทางการเมือง กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5:4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัว

กรณีการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญและมีพฤติกรรม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พ้นตำแหน่งทั้งคณะ

แม้ภาวะสุญญากาศการเมืองไทยจะสิ้นสุดลงหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และปัจจุบันอยู่ระหว่างการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งนางสาวแพทองธารระบุว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 26 สิงหาคม 2567 แต่จนถึงวันนี้โผการแต่งตั้งก็ยงไม่นิ่ง

รวมถึงกระทรวงการคลัง ซึ่งก่อนหน้ามีกระแสข่าวว่านายพิชัย ชุณหวชิร จะหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการแทน

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่า หลังนายพิชัยเดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและยังเป็นบิดาของนางสาวแพทองธารแล้ว ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะยังเป็นของนายพิชัยต่อไป ดังนั้นนายจุลพันธ์ ก็จะยังนั่งที่เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการต่อไป  

สำหรับตำแหน่งข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังปีนี้จะมีข้าราชการระดับ 10 เกษียณราชการ 3 คนคือนายจำเริญ โพธิยอด อธิบดี กรมธนารักษ์ นางวรนุช ภู่อิ่ม รองปลัดกระทรวงการคลัง  หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพย์สิน นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน และนางสาวขนิษฐา สหเมธาพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง 

โผโยกย้ายกระทรวงการคลัง

ขณะที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังของนายลวรณ แสงสนิท มีรายงานข่าวว่า บ้านจันทร์ส่องหล้าทาบทามให้นายลวรณนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่นายลวรณปฏิเสธ โดยจะขอทำหน้าที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังจนเกษียณอายุราชการจากนั้นจะพักผ่อน ไม่สนใจการเมืองใดๆ

ส่วนการโยกย้ายตำแหน่งในกระทรวงนั้น คุณหญิงบ้านจันทร์ส่องหล้าขอไว้เพียงตำแหน่งเดียวคือนายปิ่นสาย สุรัสวดี ปัจจุบันเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ ให้โยกย้ายไปเป็นอธิบดี กรมสรรพากร ส่วนที่เหลือเป็นอำนาจการพิจารณาของนายลวรณเอง

ทั้งนี้ นายปิ่นสายเป็นลูกชายของนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตปลัดกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและอดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทย

 ดังนั้นเมื่อมีการโยกนายปิ่นสายให้มานั่งอธิบดีกรมสรรพากร ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามมาคือ

  • โยกนางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากรไปเป็นอธิบดี กรมสรรพสามิต
  • โยกดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กลับมานั่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อรอสมัครเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะว่างลงในอีก 2 ปีข้างหน้า
  • โยกนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค.ไปนั่งตำแหน่งอธิบดี กรมธนารักษ์แทนนายจำเริญ โพธิยอด ที่เกษียณอายุ

สำหรับตำแหน่งที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคือนายธีรัชย์ อัตนวานิช จะยังนั่งเป็นอธิบดี กรมศุลกากร นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดี กรมบัญชีกลางและนายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)

ขณะที่กระทรวงการคลังมีนโยบายรัฐบาลที่ยังค้างคาอยู่คือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งรัฐบาลได้เปิดให้มีการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ล่าสุดยอดการลงทะเบียนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ผ่านแอพพลิเคชัน ทางรัฐ ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 30 ล้านคน ซึ่งผู้เข้าข่ายยังสามารถลงทะเบียนได้ถึง 15 กันยายนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะล้มเลิกโครงการหรือเปลี่ยนวิธีการแจกเป็นเงินสดแทนเงินดิจิทัล

ล่าสุดนายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกล่าวยืนยันว่า โครงการแจกดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ โดยการแจกเป็นเงินสดนั้นสามารถแจกเป็นเงินสดได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่

ส่วนแหล่งเงินที่มาจากการบริหารจัดการงบประมาณปี 67 เพื่อนำมาใช้ในโครงการเงินดิจิทัลอีก 4.3 หมื่นล้านบาท สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้งบกลาง สำรองจ่าย ฉุกเฉินหรือจำเป็น หรือจะมาจากการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ งบกลาง ที่มีอยู่ที่เหลือ 10 รายการ