“วงการการเงิน” จับตามองการประชุมสำคัญในการสรรหา “ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” หรือ ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แทนที่ ปรเมธี วิมลศิริ ซึ่งหมดวาระลง
หนึ่งในคณะกรรมการสรรหา เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า การคัดเลือกประธานบอร์ด ธปท.ครั้งนี้ ผู้ที่ถูกเสนอชื่อทั้งหมด 9 คน แบ่งเป็นสัดส่วนของธปท. 6 คน และกระทรวงการคลังอีก 3 คน
หนึ่งในรายชื่อที่กระทรวงการคลังเสนอมาคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะถูกมองภูมิหลังทางการเมืองที่แนบแน่นกับพรรคเพื่อไทย
ทั้งเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และต่อมาในปี พ.ศ. 2566 "เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี" ได้แต่งตั้งให้กิตติรัตน์ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี
ในช่วงรัฐบาลของนายเศรษฐา “กิตติรัตน์” และก่อนหน้านั้น เคยแสดงทัศนะอย่างดุดันต่อการดำเนินนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างนโยบายการเงินกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางของประเทศ
เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. นั้นไม่ได้เป็นการบรรเลงเพลงที่ถูกจังหวะกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน การขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเปรียบเสมือนการเพิ่มน้ำหนักบนบ่าของผู้บริโภคที่กำลังซื้อได้อ่อนแรงอยู่แล้ว แทนที่จะเป็นยาแก้ปวด กลับกลายเป็นการซ้ำเติมแผลเก่าให้ลึกยิ่งขึ้น
กิตติรัตน์มองว่า ธปท. กำลังเดินบนเส้นทางที่ผิดพลาด โดยยึดมั่นกับทฤษฎีการควบคุมเงินเฟ้อแบบดั้งเดิมมากเกินไป ทั้งที่สถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันเกิดจากแรงผลักด้านต้นทุน (Cost-Push) มากกว่าแรงดึงด้านอุปสงค์ การใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงจึงเปรียบเสมือนการใช้ค้อนทุบกระจกเพื่อไล่แมลงวัน - เป็นวิธีที่รุนแรงและไม่ตรงจุด
ในมุมมองของนายกิตติรัตน์ ธปท. กำลังมองข้ามโอกาสทองในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่เงินทุนระยะสั้นอาจไหลออก แต่ด้วยทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งของไทย เราสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงบ้างอาจเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออก ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด
นายกิตติรัตน์เปรียบการดำเนินนโยบายของ ธปท. เสมือนการขับรถยนต์ที่มองแต่กระจกมองหลัง โดยไม่สนใจสภาพถนนข้างหน้า การยึดติดกับตัวเลขเงินเฟ้อโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อกำลังซื้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจนำพาประเทศไปสู่ภาวะถดถอยที่ยากจะหวนคืน
ท้ายที่สุด นายกิตติรัตน์เรียกร้องให้ ธปท. ปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองในการดำเนินนโยบาย โดยเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงทางความคิดสำคัญกว่าการเปลี่ยนตัวบุคคล เขาหวังว่า ธปท. จะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจได้อย่างยืดหยุ่นและทันท่วงที เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าคลื่นลมแห่งความไม่แน่นอนไปสู่ท่าเรือแห่งความมั่งคั่งและยั่งยืนในอนาคต
“ตอนนี้มีประชาชนจำนวนมากอยากเห็นการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการแบงก์ชาติ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยน แต่การที่จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เราต่างก็ทราบกันดีว่าถ้าไม่ต้องเปลี่ยนน่าจะดีกว่า ผมจึงขอให้ท่านเปลี่ยนทัศนคติก็น่าจะดีกว่าเปลี่ยนคน”