AI กดค่าใช้จ่ายพนักงานแบงก์ 9 เดือนปี67 เพิ่มเพียง 5.33% 

05 ธ.ค. 2567 | 22:30 น.

แบงก์รายงานงวด 9 เดือนพบค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเพิ่มขึ้นเพียง 5.33% หลังหลายแห่งดึง AI/IT มาใช้ลดต้นทุน ลดสาขา ลดคน แต่หันไปแย่งคนไอทีแทน ดันค่าตัวพุ่ง แต่ปัญหาหลักของไทยคือ ใช้ AI ไม่เป็น  

กระแสการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ถือเป็นความท้าทายที่กระตุ้นให้วงการธนาคารต้องปรับกลยุทธ์ ทั้งการนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์และการบริการ รวมถึงการบริหารจัดการภายในองค์กร

จากรายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนพบว่า ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) 11 แห่งมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานรวม 161,151.4 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.33% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ 152,989.7 ล้านบาท 

ค่าใช้จ่ายด้านพนักงานธนาคารพาณิชย์  งวด 9 เดือน

ทั้งนี้พบว่า 3 แห่งมี ค่าใช้จ่ายด้านพนักงานลดลง คือ

  • ธนาคาร ทีเอ็มบีธนชาต(TTB) ลดลง 6.63%
  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) ลดลง 5.45%
  • ธนาคาร ทิสโก้(TISCO) ลดลง 2.68%

ธนาคารที่มีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเพิ่มขึ้นมากสุดคือ

  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) เพิ่มขึ้น 20.48%
  • ธนาคารไทยเครดิต(CEDIT) เพิ่มขึ้น 17.05%
  • ธนาคาร กสิกรไทย(KBANK) เพิ่มขึ้น 6.07%  

ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร เกียรตินาคินภัทรเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาระบบแบงก์มีการปรับตัวกันมาก ซึ่งภาคอุตสาหรรมแบงก์ไทยถือว่า ปรับตัวก้าวหน้ามากที่สุดในโลก รวมทั้งการลดต้นทุน ลดสาขา ลดการใช้คนต่างๆ

ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร เกียรตินาคินภัทร

แต่มีความต้องการคนอีกแบบ อย่าง“เทคดิจิทัล”มีการแย่งคนกันหนักอยู่แล้วในประเทศ ทำให้ค่าตัวบุคลากรด้านเทคขึ้นไปสูงมาก 

ดังนั้นจะเห็นว่า มีการแย่งคนไอทีระหว่างแบงก์แล้วและยังเห็นการแย่งคนในอุตสาหกรรมอื่นด้วย ซึ่งแนวโน้มจะยังแย่งคนเหมือนเดิม ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของแบงก์ อาจจะเห็นทั้งการลดลงและเพิ่มขึ้นก็ได้ ขึ้นกับดีมานด์

อย่างไรก็ตาม ทั้งประเทศยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและ AI อีกมากเป็นหลักหมื่นคน ส่วนตัวมองว่า ค่าใช้จ่ายอาจไม่ต่างกัน

ทั้งนี้ การแข่งขันเรื่องแย่งคนด้านเทคมีอยู่แล้วเป็นภาพทั้งประเทศ เพราะประเทศเราผลิตคนด้านนี้ได้น้อยคือ ความต้องการใช้คนด้านนี้มีสูงมาก แต่คุณภาพคนด้านนี้ก็ต่ำ ทำให้การแย่งกันไปมาอาจจะไม่คุ้ม เมื่อเทียบด้านคุณภาพ อย่างเด็กจบใหม่เรียกเงินเดือน 70,000 บาท 

ส่วนการที่แบงก์ทำเรื่องทรานฟอร์เมชั่นเพื่อลดต้นทุนนั้น แบงก์ทำกันอยู่แล้ว เพราะพฤติกรรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่เมืองไทยทำ E-payment ทำให้คนไม่เข้าสาขาแล้ว

ขณะที่แบงก์เองปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีการเปิดบัญชีออนไลน์ ทำให้ต้นทุนลดลงเรื่อยๆตามธุรกรรมที่ลดลง เพราะปัญหาประดิษฐ์(AI) มาช่วยเปลี่ยนกระบวนการทำงาน  แต่ปัญหาหลักของ AI สำหรับประเทศไทยคือ ยังใช้ไม่เป็น ซึ่งเป็นปัญหาหลักมากกว่าเป็น Knowledge Gaps 

ยกตัวอย่าง กระบวนการปล่อยสินเชื่อสามารถทำให้เป็น AI ทั้งหมดได้ โดยเหลือคนเพียงบางส่วน เพื่อให้คนทำงานร่วมกับ AI ส่วนใหญ่เป็น Auto Approve /Auto Reject แต่หากทำไม่เป็น/ใช้งาน AI ไม่เป็น คนทำงานเหมือนเหมือน สเต็ปการทำงานก็เหมือนเดิมไม่ดีขึ้น

ดังนั้น คนใช้เป็นกับใช้ไม่เป็นแตกต่างกันมาก ซึ่ง AI ต้องใช้เงินลงทุนมากก็จริง แต่สำหรับการนำมาใช้ อาจจะไม่ต้องลงทุนมากขนาดนั้นก็ได้ เนื่องจากเมืองไทยยังไม่ถึงจุดเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี

“เรื่อง AI ลดต้นทุนนั้นทำได้จริง แต่เคสดีๆ ผมยังไม่ค่อยเห็นหรือมีน้อย ประเด็นของไทยคือ มีแต่บอกว่า ใช้เงินเยอะ แต่ยังไม่เห็นผล ยุคเทคโนโลยี แต่คนบางส่วนยังใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ดังนั้น AI ถ้าใช้ถูก ต้นทุนจะหายไปมาก อย่างออกบริการใหม่ในปีที่แล้วระบบสามารถทำงานแทนคน 8,000คน ช่วยประหยัดต้นทุนให้บริษัทปีหนึ่ง 100ล้านดอลลาร์”

นายสัมฤทธิ์ ตรงตรานนท์ ผู้อำนวยการสายงาน บริษัท ยิบอินซอย จำกัดกล่าวว่า เชื่อว่า เกือบทุกองค์กรมีการใช้เทคโนโลยีและมีฐานข้อมูลจำนวนมากที่ใช้กันมานานยังเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่เป็นไซโล แต่ความถูกต้อง/ความเป็นแบบแผนย่อมมีความจำเป็น

ยกตัวอย่าง ธุรกิจธนาคารไทยที่มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีค่อนข้างมาก นอกจากธุรกิจกลุ่มเทเลคอมและพลังงาน

นายสัมฤทธิ์ ตรงตรานนท์ ผู้อำนวยการสายงาน บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
อีกทั้งธนาคารต้องจัดทำรายงานข้อมูลต่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และทำความสะอาดข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและทำ Data Cleansing ในปัจจุบัน 

นายสัมฤทธิ์กล่าวว่า Gartner สถาบันวิจัยด้านข้อมูลและเทคโนโลยีคาดว่า ปี2025หรือปีหน้า 3ธีมหลักของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจคือ

  1. ธีมบริษัท/องค์การเริ่มหาวิธีป้องกันความเสี่ยงจากการใช้ AI ( AI Imparative Risk) หลังจากที่ใช้ AI มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
  2. ธีมการสร้างกฎระเบียบ จริยธรรมเพื่อกำกับดูแล AI (AI Governance Platforms) ซึ่งในไทยทางสมาคมปัญญาประดิษฐ์เริ่มคิดเรื่องนี้ สอดคล้องกับที่การ์ดเนอร์คาดว่า จะต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาจับพฤติกรรมว่าอยู่ในระเบียบ/มีจริยธรรม
  3. การมีเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อลดการฉ้อโกง/การนำข้อมูลที่บิดเบือนเข้าสู่โซเซียล (การรักษาความปลอดภัยจากข้อมูลเท็จ)

 “ปีหน้า Gartner มองว่า จะเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยตัดสินใจแทนคน เพื่อลดภาระงานเดิม เช่น เร็วๆนี้ AI จะทำหน้าที่เป็นคอลเซ็นเตอร์/บางอีเว้นท์ใช้ AI ทำหน้าที่ แม้คดีความในศาล นำAI อ่านสำนวนและสรุปผล รวมถึงบริษัทใช้ AI ในการออกผลิตภัณฑ์ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานดีขึ้น"


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,051 วันที่ 8 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567