นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1YC (SCBDSHARC1YC) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย ระหว่างวันที่ 8 – 15 พฤศจิกายน 2565 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท จากการมองเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้น SET50 Index ที่เป็นดัชนีราคาหุ้นที่ใช้แสดงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญ 50 ตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด
ทั้งนี้ หลังจากที่ไทยมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคและการเปิดประเทศ ทำให้เริ่มมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นปกติมากขึ้น โดยมีปัจจัยหลักที่มาจากภาคการท่องเที่ยวและบริการ โดยคาดว่า จะเห็นการเร่งการฟื้นตัวของปริมาณนักท่องเที่ยวมากกว่า 20 ล้านรายในปีหน้า
อีกทั้งรัฐบาลได้ออกมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ทยอยฟื้นตัว และมองว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง สวนทางกับเศรษฐกิจโลก ที่ยังชะลอตัว ซึ่งเห็นได้จากการปรับเพิ่มประมาณการ GDP Growth ของไทย จาก 2.9% เป็น 3.0% ในปีนี้ และจะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.7% ในปี 2566 ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้ จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มการเติบโตได้ดีในช่วงสิ้นปี 2565
ความน่าสนใจของกองทุน SCBDSHARC1YC คือ เป็นกองทุน Complex Fund ที่มีอายุ 1 ปี ที่เน้นโอกาสการสร้างผลตอบแทนชดเชยใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก จากการนำเงินของทรัพย์สินกองทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากทั้งในและต่างประเทศที่มีคุณภาพ เมื่อครบกำหนดอายุกองทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนพร้อมผลตอบแทน/ดอกเบี้ยที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินต้น
“การลงทุนส่วนนี้จะมีความผันผวนต่ำ ช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้นได้ และเสริมโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม โดยนําเงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในสัญญาออปชั่น ที่อ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดัชนี SET50 ซึ่งจะใช้ราคาปิดดัชนี SET50 ของทุกวันทำการมาพิจารณา ไม่ว่าราคาสินทรัพย์ระหว่างอายุสัญญาจะปรับเพิ่มหรือลดลงไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ วันเริ่มต้นสัญญา มีโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มสูงสุดที่ 5% แต่หากราคาสินทรัพย์ระหว่างอายุสัญญาปรับเพิ่มขึ้น หรือลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญา ก็ยังจะได้รับเงินผลตอบแทนชดเชยที่ 0.25%”นางนันท์มนัสกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศหลัก ยังมีความผันผวนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ อีกทั้งใน 9 เดือนแรกปี 2565 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นไทยสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท ประกอบกับเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้มีสัญญาณการฟื้นตัวเด่น ซึ่งถ้าประเมินจากมูลค่าทางธุรกิจ (Valuation)
ขณะที่ความสามารถของการทำกำไรในอนาคตของหุ้นกลุ่ม SET50 จะเห็นว่า มูลค่าหุ้นที่เมื่อเทียบกับกำไรสุทธินั้น ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง ที่ระดับ 15 เท่า PER หรือคิดเป็นประมาณของค่าเฉลี่ย 10 ปี และประเมินว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะมีการขยายตัวได้ที่ระดับ 22% และ 5% ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรับเพิ่มประมาณการของกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในดัชนี SET50 ที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% ตลาดหุ้นไทยจึงยังน่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนในช่วงเวลานี้