Telemedicine หรือ นวัตกรรมบริการทางการแพทย์ผ่านช่องทางออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น จากความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) หรือกลุ่มติดตามอาการ (Follow-Ups) ที่ใช้ช่องทางบริการผ่าน Telemedicine ให้บริการได้ใกล้เคียงกับการเข้ารับบริการที่สถานพยาบาล และสามารถลดค่าใช้จ่ายในรูปแบบต้นทุนแฝงต่าง ๆ เช่น ค่าขาดงาน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร รวมถึงต้นทุนทางเวลาอื่น ๆ ในช่วงรอการตรวจรับการรักษา
โดยรูปแบบการพัฒนายกระดับระบบการรับบริการทางการแพทย์ผ่านช่องทาง Telemedicine ซึ่ง ttb analytics แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ปัจจุบัน ระบบ Telemedicine ในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้น (Early Stage) ที่กลุ่มผู้รับบริการยังค่อนข้างจำกัดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีสิทธิรักษาพยาบาลผ่านระบบประกันกลุ่มจากความสะดวกในการรับบริการทางการแพทย์โดยผ่าน Telemedicine และไม่ต้องสำรองจ่าย
ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสการเข้ารับบริการทางการแพทย์ผ่านสิทธิประกันกลุ่มราว 15-20% คิดเป็น 7-8 ครั้งต่อปี จากเดิมที่มีการเข้ารับบริการ 5-6 ครั้งต่อปี และคาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนไทยเพิ่มขึ้นอีกราว 4,000-6,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ นอกจากการได้รับผลประโชน์ทางตรงที่สร้างรายได้เพิ่มให้กับอุตสาหกรรมโรงพยาบาลแล้ว ระบบการให้บริการทางการแพทย์แบบ Telemedicine ยังเป็นบริการที่สร้างผลกระทบภายนอกทางบวก (External Benefit) จากการสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมให้กับสังคมโดยรวม เช่น การลดต้นทุนทางอ้อมของผู้รับบริการทางการแพทย์ที่ไม่ต้องเดินทางไปสถานพยาบาล
รวมถึงประสิทธิภาพของโรงพยาบาลในการจัดสรรทรัพยากรที่ดีขึ้นจากการลดความหนาแน่นของผู้ป่วยบางส่วนที่สามารถใช้บริการผ่าน Telemedicine ที่ทดแทนได้ ซึ่งตามหลักแนวคิดทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ได้สรุปว่า ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สามารถสร้างผลประโยชน์ภายนอกให้กับสังคมควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้มีการประกอบกิจกรรมนั้นเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มผลประโยชน์ของสังคมโดยรวมให้มากที่สุด
ดังนั้น การที่ Telemedicine เป็นกิจกรรมที่ส่งผลประโยชน์ส่วนเพิ่มให้กับสังคมโดยรวม จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเร็วที่สุดสังเกตได้จาก การขยายบริการ Telemedicine ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพทั่วหน้า(บัตรทอง) หรือ กลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยที่เจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) 42 กลุ่มโรค/อาการ
นำร่องให้บริการในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดแรกเพื่อเร่งรัดพัฒนาให้ระบบ Telemedicine เข้าสู่ระยะการเติบโตในอัตราเร่งโดยเร็ว ซึ่งเมื่อเกิดความสัมฤทธิ์ผลผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับสังคมโดยรวม (Total Social Benefit) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นดังนี้
โดยสรุป ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ระบบ Telemedicine สามารถช่วยสร้างผลประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมทางการแพทย์ในปี 2566 โดยนับเป็นตัวเงินคิดเป็นมูลค่าราว 4,000-6,000 ล้านบาท บนศักยภาพที่ยังสามารถดำเนินการกิจกรรมทางการแพทย์ไปได้อีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากระบบ Telemedicine สามารถขยายศักยภาพเข้าสู่ระยะการเติบโตในอัตราเร่งโดยเร็ว จะสามารถสร้างผลประโยชน์ให้สังคมในภาพรวม โดยลดรายจ่ายทางอ้อมของผู้ที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ได้นับหมื่นล้านบาทต่อปี รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากรของแต่ละโรงพยาบาลในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยอาการหนักให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วต่อไป