‘ตราสารหนี้’ ผงาด!!..สินทรัพย์ลงทุนอนาคตดีรับต้นปี 66

17 มี.ค. 2566 | 09:37 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มี.ค. 2566 | 09:37 น.

‘ตราสารหนี้’ ผงาด!!..สินทรัพย์ลงทุนอนาคตดีรับต้นปี 66: คอลัมน์ มันนี่ ดีไอวาย โดยคุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

ตราสารหนี้” ถือเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่น่าสนใจในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับตัวขึ้น เพราะนักลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระดับที่สูงขึ้น ตามทิศทางของดอกเบี้ยในตลาดด้วยเช่นกัน

โดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยกับราคาของตราสารหนี้ มักจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้าม ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยขยับตัวขึ้น ราคาตราสารหนี้จะปรับลดลง นั่นก็เพราะ ตราสารหนี้ที่ออกใหม่ มีการให้อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด ดังนั้น นักลงทุนที่ยอมซื้อตราสารหนี้ในรุ่นก่อนหน้า ก็ควรจะเข้าซื้อเพิ่มในราคาที่ลดลง เพื่อชดเชยกับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่สูงกว่า 

หากเรานำความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ มาปรับใช้เพื่อการจัดพอร์ตตราสารหนี้ จะพบว่า ในช่วงดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ควรลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนของราคาที่ปรับตัวลง และในทางตรงกันข้าม เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เพื่อรับผลประโยชน์จากราคาที่เพิ่มขึ้น และรักษาผลประโยชน์จากผลตอบแทนเดิมที่สูงกว่านั่นเอง

สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมา ชัดเจนแล้วว่า แนวโน้มการดำเนินนโยบายทางการเงินโดยรวมมีสัญญาณที่ตึงตัวขึ้น นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) ที่ได้ส่งสัญญาณ Hawkish หรือใช้นโยบายทางการเงินแบบตึงตัวมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับสูงเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 

จากความร้อนแรงในการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ได้ส่งผลต่อปรากฏการณ์ Inverted yield curve ในตลาดตราสารหนี้ นั่นคือ การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลงต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรจะเป็น ถือเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องสำหรับตลาดการลงทุนทั่วโลก และทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความกลัว และหันมาถือครองเงินสดแทนการเข้าลงทุนในช่วงก่อนหน้า

‘ตราสารหนี้’ ผงาด!!..สินทรัพย์ลงทุนอนาคตดีรับต้นปี 66

อย่างไรก็ดี มองว่าการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในปีนี้ เนื่องจากฐานของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ค่อนข้างสูงในปีก่อนหน้า ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อในหลายประเทศได้เริ่มทยอยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมทั้งเพื่อเป็นการรักษาสมดุลไม่ให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวอย่างรุนแรง คาดเป็นสัญญาณที่ดี ที่น่าจะเริ่มเห็นการลดความตึงตัวทางนโยบายทางการเงินในระยะถัดไปได้

ปัจจุบัน หากพิจารณาผลตอบแทนของตราสารหนี้ในปัจจุบัน ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยอ้างอิงอัตราผลตอบแทนพันบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปี และ 10 ปี ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขยับสูงขึ้นอยู่ที่ 4.52% แล 3.74% ตามลำดับ(1) ซึ่งมีความใกล้เคียงหากเปรียบเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่น REITs ในไทยและสิงคโปร์ ที่คาดการณ์

ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ราว 5 – 6% แต่อาจจะต้องแลกมากับความผันผวนที่สูงกว่าเท่าตัวด้วยเช่นกัน หรือหากจะเทียบเคียงกับการลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากการที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนจากราคาต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

จากปัจจัยและมุมมองทั้งหมดนี้ ทำให้มองว่าปีนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการเริ่มลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจาก yield ของตราสารหนี้ที่ได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยแนะนำการลงทุนไปยังตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี เช่น การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) เพื่อช่วยป้องกันความผันผวน และลดความเสี่ยงอันเกิดจากเครดิตได้

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ สามารถเริ่มลงทุนในกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ เพราะใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก และมีสภาพคล่องสูง ไม่เพียงแต่สะดวกสบายในการซื้อขาย แต่ยังมีผู้จัดการกองทุนในการช่วยบริหาร คัดเลือกตราสารที่มีคุณภาพดี และอายุตราสารตามความเหมาะสมของแต่ละสภาพตลาด

บลจ.ไทยพาณิชย์ มีผลิตภัณฑ์กองทุนในประเภทของตราสารหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศ จากผู้ออกตราสารภาครัฐและเอกชน ที่นักลงทุนจะใช้เป็นทางเลือกลงทุนในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ได้ ตอบโจทย์ทั้งในการพักเงินระยะสั้นถึงกลาง และผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องในกองทุนตราสารหนี้ที่มีความยืดหยุ่นสูง  อย่างไรก็ดี เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนควรเข้าใจถึงเงื่อนไข และปัจจัยที่เกี่ยวข้องก่อนตัดสินใจลงทุน