นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน วรรณ (บลจ.วรรณ)เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอการเติบโตลงจากภาคการผลิตที่ยังอ่อนแอ ปัญหาในภาคธนาคารและเงินเฟ้อที่มีความหนืด แม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้วตามการอ่อนตัวของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางส่วนมากยังไม่วางใจต่อการปรับตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ ประกอบกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นอีกประเด็นที่กดดันบรรยากาศการลงทุน อาทิ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ขณะที่การดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลยังมีแนวโน้มต่อเนื่องในปี 2023 ทั้งในประเทศพัฒนา (นำโดยสหรัฐฯ และญี่ปุ่น) และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (นำโดย บราซิล อินเดีย และจีน) เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ คาดการณ์ทิศทางเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่ชะลอตัวและอยู่ในระดับที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางไม่มาก ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ประเทศในกลุ่ม Asia Pacific สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทั้งในจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย หนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องในปีนี้ โดยเฉพาะในฝั่งของจีน ซึ่งคาดว่าจะมีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมจากภาครัฐ หลังเศรษฐกิจค่อนข้างอ่อนแอกว่าคาดในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มีการคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS growth) มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นกว่าหุ้นโลกในภาพรวม อยู่ที่ราว 0.9% ในปี 2023 และ 17.5% ในปี 2024 ขณะที่ Valuation ยังค่อนข้าง laggard เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นโลก โดยมองเป็นปัจจัยหนุน upside หุ้น Asia Pacific ในระยะข้างหน้า
ดังนั้น บลจ.วรรณ แนะนำกระจายการลงทุนในกองทุนภายใต้การบริหาร ได้แก่ กองทุนเปิด วรรณ เอเชียแปซิฟิก ESG (ONE-APACESG) เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ผ่านกองทุนหลัก BNP Paribas Green Tiger Fund กระจายการลงทุนในหุ้น Asia Pacific รวมถึงญี่ปุ่น
กองทุน ONE-APACESG เน้นหุ้น Asia Pacific ที่เน้นพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ในอนาคต และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของธุรกิจยุคใหม่ทำให้ ESG เป็นอีก Megatrend ของโลก อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
สำหรับสัดส่วนการลงทุนของ ONE-APACESG ในปัจจุบัน มีการกระจายในจีน 23.27%, ญี่ปุ่น 21.68%, ไต้หวัน 19.26%, อินเดีย 12.03% ออสเตรเลีย 10.29% โดยกองทุนยังกระจายการลงทุนไปในประเทศเกาหลีใต้ 6.67% และฮ่องกง 4.60% ด้วยเช่นกัน ขณะที่อุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ Information technology ประมาณ 35.59%, Industrials 29.99%, Consumer discretionary 17.11% ,Consumer staples 5.29% และ Health care 3.36%
“การลงทุนในบริษัทที่เน้น ESG สามารถสร้างการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการลงทุนยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจให้มีความยั่งยืน มากกว่าการเติบโตเชิงตัวเลขเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังเป็นปัจจัยที่หนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนและน่าสนใจในแง่มุมของ fund flow ของนักลงทุนสถาบันให้ไหลเข้าในหุ้นกลุ่ม ESG อย่างต่อเนื่อง”นายพจน์กล่าว