ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 34,347.03 จุด เพิ่มขึ้น 152.97 จุด หรือ +0.45%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,026.12 จุด ลดลง 1.14 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,226.36 จุด ลดลง 58.96 จุด หรือ -0.52%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.78%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.53% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.72%
การซื้อขายเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยตลาดเปิดทำการเพียงครึ่งวัน หลังจากปิดทำการในวันพฤหัสบดี (24 พ.ย.) เนื่องใน วันขอบคุณพระเจ้า
บรรดานักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่หุ้นกลุ่มค้าปลีก ขณะที่ยอดขายในช่วงวัน Black Friday เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ระดับสูงและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง จำนวนประชาชนที่ออกไปจับจ่ายซื้อสินค้าในวัน Black Friday นั้นเบาบาง เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
หุ้นกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐได้กลายเป็นตัวบ่งชี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะที่เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อการใช้จ่าย โดยในปีนี้ ดัชนี S&P500 หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงกว่า 30% แล้ว ขณะที่ดัชนี S&P500 ร่วงลง 15%
หุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ ทาร์เก็ต, เมซี่ และเบสต์บาย ปรับตัวขึ้นลงคละเคล้ากัน และดัชนี S&P500 กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยขยับขึ้นเล็กน้อย
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 0.64% และ 0.63% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร และกลุ่มเทคโนโลยี ลดลง 0.7% และ 0.67% ตามลำดับ
หุ้นแอปเปิ้ลร่วง 2.0% จากข่าวการส่งมอบไอโฟนที่ลดลงจากโรงงานของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ในจีนในเดือนพ.ย. เนื่องจากการผลิตได้รับผลกระทบจากการประท้วงของแรงงานที่เกี่ยวกับมาตรการควบคุมโรคโควิด-19
ตั้งแต่สัปดาห์หน้า นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยยอดค้าปลีก, การระบาดครั้งล่าสุดของโรคโควิด-19 ในจีน และการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่แตะระดับต่ำสุดในช่วงต้นเดือนต.ค. โดยดัชนี S&P500 บวกขึ้นมากกว่า 15% แล้วโดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน และความหวังที่ว่าเฟดจะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ย
บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ในขณะนี้ว่า มีโอกาส 71.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนธ.ค. และอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดในเดือนมิ.ย. 2566