สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 78.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 85.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายพาวเวล กล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตัน (Economic Club of Washington) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เงินเฟ้อในสหรัฐกำลังชะลอตัวลง และปีนี้จะเป็นปีที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าเฟดจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่าการที่เฟดผ่อนคันเร่งในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยในวันข้างหน้านั้น จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐรอดพ้นจากภาวะถดถอย และเป็นปัจจัยหนุนความต้องการน้ำมัน
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังตุรกีสั่งปิดท่าเรือเจย์ฮัน หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ โดยท่าเรือเจย์ฮันเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ที่ส่งออกน้ำมันดิบมากกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนม.ค. หรือคิดเป็น 1% ของปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลก และส่วนใหญ่มีการส่งไปยังโรงกลั่นน้ำมันในยุโรป
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบลดช่วงบวก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 100,000 บาร์เรล