เวลาผ่านมาเกือบ 2 เดือนของปี 2566 แล้ว แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ แม้ว่าหลายคนจะมีความหวังว่าปีนี้ตลาดน่าจะให้ผลตอบแทนบ้างหลังจากที่นิ่งมานานเกือบ 10 ปี และปีที่แล้วดัชนีก็แทบจะไม่ขยับเลย นอกจากนั้น หลังจากที่มีการประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ที่ “ผิดคาด” และ “น่าผิดหวัง” ในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนที่ 1.4% และทั้งปี 2565 ที่ 2.6% จากตัวเลขที่คาดไว้ 3.2% ตลาดก็ “ช็อก”
แต่ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกหนักกว่าก็คือการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนเมื่อสัปดาห์ก่อนที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากมีผลประกอบการไตรมาส4 ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดคือเมื่อวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ติดลบไปแล้วประมาณ 2% นับจากต้นปี ซึ่งก็อาจจะดูว่าไม่ได้มากมายอะไร
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของโลกรวมถึงไทยก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเอื้ออำนวย หลายคนคิดว่าปีนี้อาจจะไม่ดีอย่างที่คิด ผมจึงอยากทบทวนว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะต้องเจอ “มรสุม” อะไรบ้างที่อาจจะทำให้หุ้น “เลวร้าย” ไปอีก 1 ปี
เรื่องแรก ก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างดีจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น “เท่าตัว” และอาจจะถึง 30 ล้านคน โดยคาดว่า GDP จะโตถึงประมาณ 3.8% แต่ตัวเลข 2-3 เดือนล่าสุดของการส่งออกของไทยที่ปรับลดลงไปมากระดับเกิน 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนได้ทำให้เกิดความกังวลว่ามันจะลดการเติบโตที่มาจากการท่องเที่ยวไปมาก และอาจจะทำให้ GDP เติบโตลดลงเหลือเพียง 2.8% ซึ่งก็จะทำให้เศรษฐกิจอยู่ในสภาพ “แย่” ไปอีก 1 ปี
และแน่นอนว่าไม่ใช่ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้น
เรื่องที่สอง ก็คือ การลดลงของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นี่ก็เป็นผลตามมาจากการเติบโตที่ช้าลงของเศรษฐกิจ แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มพลังงานที่อาจจะลดลงเนื่องจากราคาพลังงานโลกที่ลดลงเมื่อเศรษฐกิจโลกซบเซาหรือถดถอยลง มีการคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้นของตลาดในปี 2566 จะลดลงจากประมาณ 100 บาทต่อหุ้นเหลือประมาณ 90 บาทต้น ๆ และนี่ก็จะทำให้ปัจจัยสำคัญที่มักจะช่วยขับเคลื่อนดัชนีหุ้นนั้นหายไป
เรื่องที่สาม คือ อัตราดอกเบี้ยที่อาจจะไม่ลดลงโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐที่เริ่มมีการพูดถึงฉากทัศน์ที่เรียกว่า “No Landing” คือภาพที่เคยคาดว่าเศรษฐกิจจะถดถอยลงแบบน้อย ๆ และทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงจนอยู่ในระดับเหมาะสม หรือที่เรียกว่า “Soft Landing” นั้น อาจจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ธนาคารกลางหรือเฟดไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นไปมากในปีที่แล้วได้ และอัตราดอกเบี้ยที่สูง “ค้าง” อยู่ที่กว่า 5% ต่อปี ย่อมไม่ส่งเสริมให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ และก็เช่นเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยไทยก็ลดลงไม่ได้และอาจจะต้องเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อลดการไหลออกของเงินดอลลาร์
เรื่องที่สี่ ที่น่าห่วงมากสำหรับผมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สามก็คือ “Fund Flow” หรือการไหลออกของเงินลงทุนในตลาดหุ้นของชาวต่างประเทศ ซึ่งในปี 2565 นั้น เรามีเงินต่างประเทศไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยสุทธิถึง 200,000 ล้านบาท แต่ในตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ถึงวันที่ 25 นักลงทุนต่างประเทศกลับขายหุ้นสุทธิถึง ประมาณ 38,000 ล้านบาท และถ้ารวมเดือนมกราคม 2566 ที่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นสุทธิอยู่ประมาณ 18,000 ล้านบาท เงินลงทุนจากต่างประเทศก็ยังติดลบประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาทในช่วงเวลาประมาณ 2 เดือน
สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ถ้านักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นสุทธต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นปี ตัวเลขการขายหุ้นสุทธิทั้งปีก็อาจจะสูงเกิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งก็อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นลดลงไปได้มาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ขนาดปีที่แล้วที่ต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิถึง 2 แสนล้านบาท หุ้นไทยก็ยังไม่ไปไหน ถ้าขายสุทธิเป็นแสนล้านบาท อะไรจะเกิดขึ้น?
เรื่องที่ห้า ที่อาจจะมีผลกระทบทั้งทางด้านดีและร้ายได้แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะมองว่าน่าจะเป็นผลดีเพราะ “ประวัติศาสตร์” บอกว่ามันมักจะดีก็คือ การเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย ที่มักจะ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” เพราะมีการใช้จ่ายเงินในช่วงการหาเสียง และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงประมาณ 3 เดือนก่อนวันเลือกตั้งที่ประมาณ 4% โดยเฉลี่ย
แต่สิ่งที่อาจจะกลายเป็นร้ายได้นั้นก็คือ ถ้าหลังจากการเลือกตั้งแล้วแต่การจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหา เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ พรรคการเมืองที่ “ชนะเลือกตั้ง” และมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนอาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาลเนื่องจากรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้คนโหวดเลือกนายกประกอบด้วยสภาผู้แทนและวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผลก็คือ อาจจะเกิด “โกลาหล” และเกิด “วิกฤติทางการเมือง” ที่กระทบกับดัชนีตลาดหุ้นได้
สุดท้าย ที่จะพูดถึงก็คือความเชื่อของผมเองที่มองว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะการเก็งกำไรสูงมานานและมีหุ้นที่ “อยู่ใน Corner” จำนวนมากรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีราคาสูงเกินพื้นฐานไปมาก รวมแล้วอาจจะสูงถึง 5 แสน-ล้าน ๆ บาท ในกรณีที่ตลาดหุ้นซบเซา เช่นเกิดภาวะวิกฤติตลาดหุ้นโลก ซึ่งทำให้การเก็งกำไรหายไป ซึ่งอาจจะทำให้ “Corner แตก” อย่างเป็นระบบ นี่ก็อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาได้มากถึง 4-5% โดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงการประเมินถึงปัจจัยที่อาจจะมีผลต่อดัชนีหุ้นร้ายแรงที่เราควรจับตามอง แต่เหตุการณ์จริงนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ หรืออาจจะเกิดขึ้นบางเรื่องหรือบางส่วนและผลกระทบก็อาจจะไม่แรงอย่างที่คิด ไม่มีใครจะบอกได้ แต่ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทางด้านลบมากกว่าด้านบวก
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่คิดที่จะขายหุ้นทิ้ง เหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผมไม่ได้ซื้อกองทุนรวมที่จะแย่ถ้าตลาดไม่ดี ผมซื้อหุ้นรายตัวในลักษณะถือยาวคล้ายเป็นเจ้าของธุรกิจที่ผมมั่นใจว่า บริษัทจะต้องอยู่ได้และมีกำไรและจ่ายปันผลได้แม้ว่าจะประสบกับปัญหาและอุปสรรค และผมก็ยังเชื่ออีกว่า เรื่องที่ดีหรือร้ายที่เป็นเรื่อง “ชั่วคราว” นั้น ไม่ช้ามันก็จะผ่านไป ไม่ต้องสนใจมาก