ส่องหุ้นรับเหมา : จับตากระสุนนัดสุดท้าย 14 มี.ค.

10 มี.ค. 2566 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มี.ค. 2566 | 02:32 น.

บล.กสิกรไทย ให้มุมมองบวกต่อ"หุ้นรับเหมา"จากเมกะโปรเจกต์ที่มีโอกาสเข้าประมูลในครึ่งแรกของปีนี้ คาดครม.นัดสุดท้าย 14 มี.ค. เคาะ 2 โครงการ รถไฟฟ้าสายสีส้ม- ส่วนต่อขยายสายสีแดง ชู CK, STEC หุ้นเด่น

 

บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย หรือ KS สรุปผลประกอบการ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ในไตรมาส 4/ 2565  ภายใต้การวิเคราะห์ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ บมจ.ช.การช่าง (CK) , บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) , บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) , บมจ.ไพลอน ( PYLON)  และ บมจ.ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนเมนท์ (TEAMG) รายงานกำไรปกติรวมที่ 218.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) แต่ลดลง 69.5% จากไตรมาส 3 /2565 ( QoQ) 218.3 ล้านบาท  

ส่วนใหญ่มาจากกำไรปกติของ CK ผลประกอบการสูงกว่าที่คาดไว้ 64% ที่ 133 ล้านบาท ขณะที่  STEC ทำผลงานได้ดีที่สุดในไตรมาสนี้ เนื่องจากกำไรปกติสูงกว่าที่เราคาดไว้ 63.6% จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ดีขึ้นจากรายได้และ backlog ที่สูงขึ้น ส่วน SEAFCO เป็นหุ้นพลิกฟื้นกำไรที่มีผลประกอบการพลิกเป็นกำไรปกติ 9.7 ล้านบาท หลังขาดทุนหลักติดต่อกัน 6 ไตรมาส ในขณะที่หุ้นตัวอื่นไม่ได้แสดงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับที่ KS คาดการณ์ไว้
 

ครม.นัดสุดท้าย เคาะ 2 โครงการ

การประชุม ครม.ครั้งสุดท้ายที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มี.ค.66 ก่อนยุบสภา กระทรวงคมนาคม คาดเสนอ 6 เมกะโปรเจกต์เข้า ครม.มูลค่ารวม 7 แสนล้านบาท, KS คาดว่า 2 โครงการที่น่าจะเข้าสู่วาระการประชุม ได้แก่

  • 1.การอนุมัติการลงนามโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มกับ BEM (ผู้เสนอราคาต่ำสุด)
  • 2.การอนุมัติขอบเขตของงาน (TOR) ของโครงการส่วนต่อขยายสายสีแดง CK และ BEM เป็นผู้ได้ประโยชน์รายใหญ่ หากมีการเซ็นสัญญารถไฟฟ้าสายสีส้ม

แนวโน้ม : กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มีกำไรเติบโตต่อเนื่องจาก backlog ที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงานที่ลดลง และราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลง ในทางตรงข้ามเรามีมุมมองที่เป็นกลางต่อ"ภาคธุรกิจตอกเสาเข็ม" จากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนแบบค่อยเป็นค่อยไป 

คาดว่าเมกะโปรเจกที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2566 ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป คือโครงการส่วนต่อขยายสายสีแดง มูลค่าก่อสร้าง 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการอื่น ๆ จะเลื่อนออกไปในครึ่งปีหลังการเลือกตั้งทั่วไป เช่น รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ และทางด่วน
 

ราคาหุ้น : STEC มีผลงานดีที่สุดในเชิง YTD โดยตั้งแต่ต้นปี66 (YTD) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2.9% ดีกว่าหุ้นอื่นและดัชนี SET เนื่องจากกำไรเติบโตแข็งแกร่ง ระดับ Backlog ที่สูงและราคาหุ้นที่ยัง laggard  ส่วน CK และ TEAMG มีผลประกอบการที่อ่อนแอ YTD ในขณะที่ SEAFCO และ PYLON ดีกว่าดัชนี SET เล็กน้อย

CK มีผลงาน YTD ที่แย่ลง เนื่องจากราคาหุ้นถูกกดดันจากการชะลอการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำและโครงการรถไฟฟ้าสายสีสม แต่ราคาหุ้น CK ทำผลงานได้ดีกว่าบริษัทอื่นในปี 2565 ซึ่งคาดว่าราคาหุ้น CK จะ Outperform หากสามารถลงนามได้ในทั้งสองโครงการ

มุมมองบวก  : KS ยังคงมุมมองเชิงบวกโดยพิจารณาจาก

  • 1.โครงการเมกะโปรเจกด์ที่มีโอกาสที่จะเข้าประมูลในครึ่งแรกของบี 2566
  • 2. การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้น
  • 3. การบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
  • 4. ราคาว้สดุก่อสร้างลดลง
  • 5.อัตราการแปลง backlog เป็นรายได้ที่สูงขึ้น 

หุ้นเด่น  :  CK แนะนำ "ซื้อ" (ราคาเป้าหมาย 33.34 บาท) เป็นหุ้นเด่นในด้านการขยายตัว  เนื่องจากประเมินว่า Backlog จะขยายด้วสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.27 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 เท่าจากช่วงก่อนโควิด (ปี 2562)  

:  STEC "ซื้อ" ( ราคาเป้าหมาย 20.37 บาท) เป็นหุ้น laggard เด่นเนื่องจากเชื่อว่า ณ ระดับปัจจุบันยังไม่สะท้อนโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งและมูลค่าหุ้น 220 ล้านหุ้นใน GULF ปัจจุบันมูลค่าของGULF คิดเป็น 36% ของราคาหุ้นปัจจุบันของ STEC


ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ความล่าช้าในการประมูลโครงกาสาธารณูปโภค การขาดแคลนแรงงาน/การปรับขึ้นค่าแรง และความไม่สงบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย