ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุถึงปมทุจริตของ "STARK" ว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน หากประเมินเบื้องต้นอาจเกิดความเสียหายต่อนักลงทุนในหุ้นสามัญ และหุ้นกู้ ไม่ต่ำกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท
โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกู้ประมาณ 9.1 พันล้านบาท รวมทั้งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้ ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นได้ ซึ่งจะกระทบหุ้นกู้เครดิตเรตติ้งต่ำ ความเสี่ยงสูง และผลตอบแทนสูงขายไม่ออก
รวมไปถึงต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น ทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นสำหรับบริษัทที่มีฐานะการเงินไม่แข็งแรง ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ STARK ส่งผลกระทบต่อบริษัทขนาดกลาง และเล็กที่ไม่มีเครดิตเรตติ้ง หรือมีเครดิตเรตติ้งต่ำ กลุ่มบริษัทก็จะหันไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อประกอบกิจการแทน
รวมทั้งยังมีอีกหลายบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้และอาจผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นได้ เช่น บริษัทใน ตลาด mai ธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยว ส่วนการออกหุ้นกู้จากบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง มีบรรษัทภิบาลยังได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
สำหรับปัญหาของ STARK ในระยะสั้นต้องเร่งตรวจสอบผู้กระทำความผิด อายัดทรัพย์ของบริษัทที่กลุ่มผู้กระทำทุจริตโกงด้วยการยักย้ายถ่ายเทออกไปกลับมาคืนนักลงทุน และเจ้าหนี้
ควบคู่กับหาทางเยียวยานักลงทุนรายย่อยโดยเร่งด่วน ด้วยการสนับสนุนการดำเนินคดีแบบกลุ่ม เพื่อเรียกร้องเงินลงทุนที่ถูกโกงไปโดยไม่ชักช้า
พร้อมทั้งให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หากดำเนินการตามที่กล่าวมาได้เร็วและมีประสิทธิภาพความเชื่อมั่นต่อตลาดการเงินจะกลับคืนมาเร็ว
ส่วนมาตรการระยะยาว การเปิดรับบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีความเข้มงวด รัดกุมรอบคอบยิ่งกว่าเดิม และการทำ Backdoor Listing จะต้องมีหลักเกณฑ์การตรวจสอบบริษัทสูงขึ้น
รวมทั้ง "ผู้สอบบัญชี" หากตรวจพบว่าให้ความร่วมมือกับการทุจริตต้องถูกลงโทษมากกว่าเพียงแค่พักหรือถอนใบอนุญาต รวมไปถึงการจัดอันดับเครดิตของบริษัทจัดอันดับเครดิตของไทย จะต้องมีมาตรฐานสูงกว่าเดิม